เข้ามาฝึกงานได้ยังไง

เริ่มต้นจาก ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมของมหาลัยปี 3 เทอม 1 ระหว่างเล่นมือถือนั้น ได้ไปเห็นโพสๆ หนึ่งในกลุ่ม ประกาศว่า Skooldio มีรับเด็กฝึกงาน ตำแหน่ง software engineer และเห็นว่าเป็น stack ที่ตัวเองนั้นสนใจอยู่แล้ว เลยลองส่ง resume เพื่อลองสมัครดู

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถูกเรียกสัมภาษณ์และได้พบกับพี่ต้า Ta Virot Chiraphadhanakul และพี่คนอื่นๆ ได้ทำแบบทดสอบ และสุดท้ายก็รับเมลตอบกลับมาว่าได้รับเข้าฝึกงาน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกงานที่ Skooldio

สิ่งที่คาดหวัง

ถ้าถามว่าได้อะไรกลับไปบ้างสำหรับการฝึกงานนี้ ต้องย้อนกลับไปว่า ตอนแรกที่ตัดสินใจเข้ามา ได้คาดหวังอะไรไว้ จะมีประมาณนี้

  • ความสามารถด้าน technical ที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น React.js, Redux, GraphQL, JavaScript และอื่นๆ บลาๆ
  • อยากได้ประสบการณ์การทำงานจริงๆ ในที่ทำงาน
  • เพิ่ม connection ของตัวเองให้เพิ่มขึ้น
  • และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ เงิน !!! 💰💰

เพื่อนใหม่

ก่อนจะเริ่มฝึกงานนั้น เด็กฝึกงานได้เข้า workshop React.js ของพี่ปันเจ เพื่อปูพื้นฐาน ก่อนที่จะเข้ามาฝึกงาน ตามไปอ่านต่อที่นี่

View at Medium.com

เป็นครั้งแรกเลย ที่จะได้เจอเด็กฝึกงานด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าตื่นเต้น เพราะรู้มาก่อนว่า คนอื่นนั้นอยู่มหาลัยเดียวกันทั้งหมด ยกเว้นตัวเอง แต่สุดท้ายก็เข้ามาฝึกงานด้วยกัน แต่ละคนก็จะถนัดกันคนละแบบ มีนิสัยที่แตกต่าง เก่งกันคนละด้าน บางคนเป็นเจ้าลัทธิชาไข่มุก🥤 แต่สุดท้าย ทุกคนก็ใช้เวลาปรับตัวไม่นานก็สนิทกัน

เริ่มต้น

วันแรกของการฝึกงาน ซึ่งก็จะมีการปฐมนิเทศน์ การละลายพฤติกรรมต่างๆ หลังจากนั้นพี่ๆ ก็จะให้เด็กฝึกงานจับคู่กัน (เด็กฝึกงานมีกัน 6 คน) และรับงานแรกไปทำและ push งานขึ้นไปทันทีในวันนั้นหรือการ Ship code นั้นเอง…

มันจะไม่เร็วไปหน่อยเรอะ !!

สาเหตุที่ให้ทำแบบนี้เพราะ เพื่อให้รู้ flow การทำงานของที่นี่ว่าเป็นยังไงอย่างคราวๆ โดยถ้าติดปัญหาอะไร ก็จะสามารถถามพี่ๆ ตลอดเวลา ถือว่าสนุกและตื่นเต้นเพราะได้ ทำงานกับคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จัก ต่างคนต่างก็มีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ได้สนิทกับคนอื่นๆ มากยิ่งขึ้น

Ship code ตั้งแต่วันแรก

Review every week

ในช่วงเวลาที่ฝึกงานของ Skooldio นั้นจะมีการ stand up meeting ในช่วงเช้า 11 โมงของทุกวัน (นั้นมันไม่เช้าแล้ววววว) เพื่อที่จะดูว่า แต่ละคนงานเป็นยังไงบ้าง ติดปัญหาอะไร แล้วจะทำงานอะไรต่อ

ต่อจากนั้นจะมี sprint review ว่า sprint นี่มีงานไหนที่ยังค้างอยู่หรืองานที่ไหนที่ทำเสร็จแล้วบ้าง มีการ estimated time ในแต่ละ task ใน sprint ถัดไป โดยใช้ scrum poker ซึ่งแต่ละคนก็จะให้คะแนนแต่ละ task ที่แตกต่างกัน ตามที่ตัวเองคิด และนำมาสรุปกันว่า task นี่ควรใช้เวลาเท่าไหร่

Stand up meeting กันแบบเร็วๆ

ลองทำทุกๆ อย่าง

เดือนแรก จะเป็นเดือนที่ทุกคนได้ลองทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น front-end, back-end ฯลฯ เพื่อที่จะรู้ตัวเองตัวเองว่าถนัดด้านไหนหรือชอบทำอะไร โดยช่วงแรกผมจะทำในส่วนของ front-end ก็ใช้ technology พวก React.js, Apollo Client และตัวที่ไม่เคยใช้มาก่อน ก็จะเป็น Storybook, Rebass เป็นต้น

เพราะคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุดและทำได้ดี แต่เมื่อได้ทำงานจริงๆ แล้ว สิ่งที่เราคิดว่ามันดี มันโอเคแล้วนั้น มันยังไม่สมบูรณ์ มีอะไรหลายๆ อย่างที่เรามองข้ามไปมัน พื้นฐานต่างๆ ที่คิดว่ามันไม่สำคัญนั้น มันคือสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่แค่มองหาโจทย์ยากแต่พื้นฐานนั้นไม่แน่น ก็ทำให้ล้มได้ง่ายๆ

เดือนที่สอง ก็เริ่มที่หันไปจับงาน back-end บ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองนั้นไม่ค่อยถนัดและไม่เคยลองแบบจริงจัง ซึ่งได้ลองเขียน API, เขียน Unit test โดย Framework ที่ใช้งานกันก็คือ Loopback โดยจะใช้โครงสร้างที่มีชื่อว่า Domain Development Design และได้ลอง deploy เว็บไซต์อย่างายโดยใช้ CircleCI + S3 + cloudfront

เมื่อมาลองทำมากขึ้น ทำให้รู้ว่า มีอะไรหลายอย่างที่เรายังขาดอยู่และต้องฝึกฝนเพิ่มเติมอีกมาก ก่อนที่จะลงมือ ควรที่จะวางแผนที่ชัดเจนเสียก่อน ไม่ใช้ว่าทำๆ เพื่อเน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ เข้าใจมัน ไม่ใช่จำมัน ความละเอียด ความรอบคอบ เป็นสิ่งที่ควรจะมีในทุกๆคน

“Quality is more more important than quantity. One home run is much better than two doubles.” Steve Jobs

One-on-One

จะมีระบบนึงของ Skooldio ที่โดยส่วนตัวนั้นชอบมากๆ คือ ระบบ mentor หรือระบบพี่เลี้ยง คือ น้องฝึกงานแต่ละคนจะต้องเลือกพี่ 1 คน เป็นพี่ดูแลโดยพี่ที่ดูแลผมก็คือ Natthanun Chantanurak หรือพี่นันนั้นเอง ในแต่ละสัปดาห์ จะมีการนั่งคุยกันแบบ One-on-One เพื่อดูน้องๆ ว่าเป็นยังบ้าง อยากเรียนรู้อะไรเพิ่ม สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่อง technical ต่างๆ ยันเรื่องของกินแถวๆ นั้น ได้ฟังประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างออกไป

Internship Hackathon

สัปดาห์สำหรับการ Hackathon โดยจะมีโจทย์ก็คือ Redesign Skooldio Workshop Experience โดยงานนี้จะไม่ใช้แค่ Skooldio เท่านั้น แต่จะเป็นการรวมกันของเด็กฝึกงานทั้ง Learnhub

ซึ่งได้เจอเพื่อนๆ สาขาอื่นและเข้ามาช่วยกัน ระดมความคิด แก้ไขปัญหา โดยใช้ Design thinking ทำให้ได้เห็นมุมมองแต่ที่แตกต่างกันออกไป มุมมองที่เรามองไม่เห็น และสามารถนำมาใช้งานได้จริงๆ

Design ก่อนที่จะเริ่มลงมือกันจริง ๆ

บทส่งท้าย

การฝึกงานครั้งนี้ที่สนุกและคุ้มค่ามากๆ ได้อะไรที่นอกเหนือความรู้ด้าน hard skill (น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น )และ soft skill ต่างๆ เช่น การพูด การนำเสนอ การฟัง การอ่าน docs การปรับตัวเข้ากับคนอื่น แนวคิดในการทำงาน (Purpose, People, Price) และประสบการณ์ต่างๆ ของรุ่นพี่ทุกคนที่ได้แชร์ให้ฟัง ซึ่งเป็นประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริง

สุดท้ายนี้ ต้องขอบคุณพี่ๆ ทุกคนที่ค่อยช่วยเหลือและให้คำแนะนำอยู่เสมอๆ หากใครสนใจก็ลองสมัครกันดูนะครับ แฮร่😄

Comments are closed.