ธุรกิจที่รู้สิ่งเหล่านี้ก่อน มีโอกาสได้เปรียบกว่า!
ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน การปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่คือหัวใจสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในปี 2026 จึงไม่ใช่แค่คนที่วิ่งตามเทรนด์ แต่ต้องรู้จักนำเทรนด์เหล่านั้นมาปรับใช้กับธุรกิจ
เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวทันความเปลี่ยนแปลง Skooldio ร่วมกับ The Secret Sauce สรุป 10 เทรนด์ธุรกิจปี 2026 ซึ่งไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องตามให้ทัน แต่คือโอกาสที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแรง
Table of Contents
- สรุป 10 เทรนด์ ปี 2026
- 1. Post-Globalization: กลยุทธ์อยู่รอดในโลกที่โหดร้ายกว่าเดิม
- 2. จัดการทุนจีน: เปลี่ยนคู่แข่งเป็นพันธมิตร
- 3.การมาถึงของพนักงานใหม่ AI Agent
- 4. Bioconvergence & Deep Tech: เปลี่ยนเทคโนโลยีเป็นธุรกิจ
- 5. Longevity Economy & AgeTech: คว้าโอกาสในสังคมสูงวัย
- 6. Gen Well: ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหางาน เงิน และชีวิตที่ดี
- 7. Market to Target Tourism: จาก Mass สู่ Niche
- 8. Materiality-Driven Action: เปลี่ยน ESG เป็นขุมทรัพย์
- 9. Trust: ความไว้วางใจคือสิ่งที่กำหนดความอยู่รอดระยะยาว
- 10. Brand Incremental Values: สร้างแบรนด์ให้มัดใจผู้บริโภค
สรุป 10 เทรนด์ ปี 2026
1. Post-Globalization: กลยุทธ์อยู่รอดในโลกที่โหดร้ายกว่าเดิม
‘Post-Globalization’ หรือโลกยุคหลังโลกาภิวัตน์ กำลังส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือผลกระทบจากภาษีต่าง ๆ ธุรกิจที่อยู่รอดและเติบโตในโลกที่โหดร้ายกว่าเดิมนี้จึงต้อง “อ่านเกมโลกให้ออก” และ “กล้าที่จะปรับตัว” โดยการ
- คิดแบบ Global เดินหน้าแบบ Local: พัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานระดับโลก ควบคู่กับการใช้จุดแข็งของความเป็นท้องถิ่นและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก
- ปรับ Supply Chain: กระจายความเสี่ยง ไม่ผูกติดกับแหล่งผลิตเพียงแห่งเดียว แต่เปิดทางเลือกทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้พร้อมรับมือวิกฤต
- พัฒนาตลาดภูมิภาค: ติดตามข่าวสาร คอยจับตามองทั้งข้อตกลงการค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจ เพื่อเชื่อมโยงกับ ‘ตลาดในภูมิภาค’ และเป็นการลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
- ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเข้าถึงตลาดต่างประเทศ พร้อมเชื่อมต่อกับผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมนำระบบดิจิทัลมาบริหารจัดการ Supplychain ให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. จัดการทุนจีน: เปลี่ยนคู่แข่งเป็นพันธมิตร
การไหลเข้ามาของ ‘ทุนจีน’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตไทยเราก็เคยเผชิญกับการเข้ามาของ ‘ทุนญี่ปุ่น’
ซึ่งการไหลเข้ามาของทุนจีนนั้นก็มีปัจจัยสำคัญมาจากทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และสงครามภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ทุนจีนต้องกระจายตัวออกนอกประเทศ โดยกลยุทธ์ China Plus One ก็ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน
นำมาซึ่งโอกาสของธุรกิจ ‘ทุนไทย’ ที่เล็งเห็นโอกาส เข้าใจวัตถุประสงค์ ประเภทธุรกิจ และอุปนิสัยของทุนจีน หากทุนจีนเข้ามาพร้อมกับฐานะ ‘คู่แข่ง’ ในธุรกิจขนาดเล็ก เราก็ต้องสร้างคุณค่าที่แตกต่างให้กับธุรกิจของเรา หรือจะพิจารณาอีกหนึ่งกลยุทธ์ คือ การร่วมเป็นพันธมิตร (Joint Venture)
3.การมาถึงของพนักงานใหม่ AI Agent
AI Agent ก็เปรียบเสมือนพนักงานใหม่ที่ทั้งมีประสบการณ์ และเรียนรู้ระบบงานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถตัดสินใจและดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้เอง
AI Agent สามารถเข้ามาช่วยธุรกิจ และองค์กรในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จัดการงานซ้ำซากต่าง ๆ ช่วยลดต้นทุน ลดภาระงานของพนักงาน ให้พวกเขาสามารถใช้แรงและพลังงานไปกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ต้องการการตัดสินใจที่ซับซ้อนมากขึ้น
นอกจากนี้ AI Agent ยังสามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ค้นหา insights ที่จะมาช่วยในการพัฒนาสินค้า บริการ หรือแม้แต่โมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
ดังนั้นการนำ AI Agent มาใช้ ปรับ Workflow และกำหนดแนวทางปฏิบัติในการใช้งาน พยายามตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้อยู่เสมอ พร้อมกับการพัฒนาทักษะให้พนักงาน จึงเป็นการลงทุนที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเราได้
4. Bioconvergence & Deep Tech: เปลี่ยนเทคโนโลยีเป็นธุรกิจ
Bioconvergence คือการหลอมรวมเทคโนโลยีสาย ชีวภาพ + ดิจิทัล + วิศวกรรม = การเปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในวงการแพทย์ แต่ยังไปถึงวงการอื่น ๆ ด้วย เช่น วัสดุศาสตร์และ อาหาร
โดยสิ่งที่ตามมาคือเทรนด์ที่มีชื่อว่า ‘Deep Tech Commercialization’ มันคือการเปลี่ยน Deep Tech ที่เป็นเทคโนโลยีเชิงลึก มาสร้างเป็นธุรกิจ ซึ่งเทรนด์นี้ก็กำลังเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย และเป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการเช่นเดียวกัน
ซึ่งถ้าผู้ประกอบการอยากจะสร้างธุรกิจนี้ทำให้สำเร็จแค่มี Tech ล้ำ ๆ ไม่พอ หัวใจสำคัญอยู่ที่สูตรนี้ Deep Tech = Deep Technology + Expertise Knowledge (เทคโนโลยีเชิงลึก + ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง)
ก่อนจะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือแก้ไข -> ผู้ประกอบการต้องเริ่มจากการเข้าใจปัญหาที่แท้จริง
ก่อนทุ่มงบสร้างผลิตภัณฑ์ -> ก็ต้องมั่นใจว่าปัญหานั้นใหญ่พอ มีคนพร้อมจ่าย และวิธีแก้ของเราตอบโจทย์ได้จริง
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือ ต้องมีทักษะในการทำงานร่วมกับนักวิจัย เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีมาต่อยอดเป็นแกนหลักของธุรกิจได้ ดังนั้นผู้ที่มองเห็นปัญหาและสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ได้อย่างถูกจุดก็มีโอกาสจะคว้าชัยในอนาคต
5. Longevity Economy & AgeTech: คว้าโอกาสในสังคมสูงวัย
เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และนั่นก็มาพร้อมกับโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อย่างเช่น ‘Longevity Economy’ ที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังซื้อมหาศาล
ธุรกิจที่มองเห็นโอกาสและกล้าปรับตัวจะสามารถตอบสนองความต้องการในหลากหลายมิติของคนที่มีอายุยืนยาวขึ้นและมีกำลังซื้อสูง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวและการพักผ่อน, ความต้องการในการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ, เทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตที่ช่วยอำนวยความสะดวกและเสริมสร้างความปลอดภัย , หรือธุรกิจสุขภาพและความงาม
รวมไปถึงเทคโนโลยี ‘AgeTech’ ที่ก็น่าจับตามอง เพราะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุและคนที่ใส่ใจสุขภาพระยะยาว โดย AgeTech เป็นการผสานกันระหว่างเทคโนโลยีชีวภาพ, วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีดิจิทัลโดยมี AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ
6. Gen Well: ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มองหางาน เงิน และชีวิตที่ดี
การใส่ใจสุขภาพไม่ใด้เป็นเรื่องเฉพาะของกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่กลายเป็นเทรนด์มาแรงของคนรุ่นใหม่เช่นเดียวกัน พวกเขามองว่าสุขภาพคือการดูแลตัวเองทั้งกายและใจให้ดีที่สุดในทุกช่วงเวลาของชีวิต ยินดี ‘จ่าย’ เพื่อเข้าร่วมคอมมูนิตี้ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และแสวงหางานที่มีความหมายสอดคล้องกับคุณค่าส่วนตัวของตัวเอง
Gen Well ประกอบขึ้นจาก 3 คุณค่าหลักที่เรียกว่า ‘Trifacta’ ได้แก่ เงินเดือน – งานที่มีความหมาย – ความเป็นอยู่ที่ดี
ดังนั้นองค์กรที่เข้าใจและตอบสนองความต้องการด้าน Well-being และ Shared Values ของพวกเขาได้ก็จะสามารถดึงดูดและรักษาคนเก่งเหล่านี้เอาไว้ได้เช่นเดียวกัน รวมถึงผู้ประกอบการก็ยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในความต้องการของผู้คนกลุ่มนี้อีกด้วย
7. Market to Target Tourism: จาก Mass สู่ Niche
แม้เทรนด์นี้จะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แต่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็สามารถถอดรหัสที่น่าสนใจจากแนวคิดนี้ได้เช่นกัน
ธุรกิจยุคใหม่ต้องเปลี่ยนมุมมองคำถามจาก “ใครจะมา” เป็น “มาทำอะไร” แล้วออกแบบสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการนั้นได้จริง ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ไม่ได้มองหาแค่การพักผ่อนแต่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการเดินทางแต่ละครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการ Long Stay หรือการพักระยะยาว
ยกตัวอย่างโอกาสที่เกิดขึ้นเช่น การพัฒนาแพ็กเกจสำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยเครื่องฉายแสงโปรตอน ซึ่งเป็นการรักษาที่ใช้เวลานาน โดยแพ็กเกจนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงแรมดุสิตธานี และโรงพยาบาลจุฬาฯ ด้านโรงแรมเองก็เข้ามาช่วยจัดการแก้ปัญหาที่พักสำหรับคนไข้ต่างชาติ ร่วมมือกับนักโภชนาการดูแลเรื่องอาหารอย่างใกล้ชิด พร้อมออกแบบแพ็กเกจที่พักหลายระดับราคาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
นอกจากนี้ การเข้าใจ Insight ของลูกค้าแต่ละกลุ่มถือว่าสำคัญมาก เพราะความต้องการและช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน สิ่งที่บางธุรกิจมองว่าเป็นช่วง Low Season อาจกลายเป็นโอกาสทองสำหรับเราก็ได้
8. Materiality-Driven Action: เปลี่ยน ESG เป็นขุมทรัพย์
ในยุคนี้ ESG (Environmental, Social, Governance) กลายเป็นสิ่งที่หลายธุรกิจต้องเจอ และผู้ประกอบการเองก็ต้องรับความกดดันจากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่สามารถมาช่วยได้คือ ‘Materiality-Driven Action’ เพื่อให้ ESG เป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ มากกว่าจะเป็นภาระที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับ
โดยย่อ Materiality-Driven Action คือกลยุทธ์ที่ให้เรา ‘โฟกัสอย่างมีเป้าหมาย’ ไม่จำเป็นต้องทำทุกเรื่อง เลือกทำในเรื่องที่มีความหมายกับธุรกิจของเรา ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาหาร ที่เริ่มจากการลด Food Waste และออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรมากขึ้น
ในขณะที่หลายองค์กรในไทยอาจยังมอง ESG เป็นสิ่งที่มีแต่ค่าใช้จ่าย บริษัทระดับโลกกลับมองว่า มันเป็น Value Driver ที่เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่น สัญญาระยะยาวจากลูกค้ารายใหญ่, ได้เข้าร่วม supply chain ของแบรนด์ระดับโลก, ตั้งราคาสินค้าได้สูงขึ้นด้วย Green Premium
ซึ่งการจะขับเคลื่อนแนวคิด Materiality-Driven ให้สำเร็จก็ต้องขับเคลื่อนด้วย ‘ข้อมูล’ ที่ทั้งชัดเจน น่าเชื่อถือ อีกทั้งต้องสามารถรายงานและนำเสนอได้แบบมืออาชีพ
9. Trust: ความไว้วางใจคือสิ่งที่กำหนดความอยู่รอดระยะยาว
เราอยู่ในยุคที่ความเชื่อมั่นของผู้คนนั้นเปราะบางกว่าที่เคย ความไว้วางใจหรือ ‘Trust’ จึงเป็นสิ่งที่จะกำหนดว่าใครคือผู้ชนะในเกมธุรกิจระยะยาว
ในขณะเดียวกันหากเรามองภาพใหญ่ ความไว้วางใจของชาวโลกที่มีต่อธุรกิจไทยเองก็กำลังสั่นคลอน ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว, การค้า, ตลาดทุน
แล้วทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้าง Trust ได้? เราต้องเริ่มจากการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาลและความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา และสร้างความสัมพันธ์ ความไว้วางใจที่เหนือกว่าการแข่งขันด้านราคา ดังนั้นธุรกิจที่สามารถสร้าง Trust ได้ก็จะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
10. Brand Incremental Values: สร้างแบรนด์ให้มัดใจผู้บริโภค
ท่ามกลางสินค้ามากมาย ทำไมลูกค้าต้องเลือกแบรนด์เรา? ในยุคนี้ ‘แบรนด์’ คือสิ่งที่จะกลายเป็นแต้มต่อ เพราะแบรนด์ที่แข็งแรงไม่ได้วัดแค่ยอดขายว่าเราขายได้ แต่คือการทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า ‘คุ้มค่า’ แม้ต้องจ่ายแพงกว่า เชื่อมโยงจนเกิดความผูกพันแม้มีตัวเลือกอื่น และยังเป็นเกราะป้องกันธุรกิจเราไม่ให้สั่นคลอนง่ายเมื่อเผชิญการแข่งขันใหม่ ๆ ในตลาด
ซึ่งเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้วัดผล ‘มูลค่าเพิ่มของแบรนด์’ ก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Brand Health Tracking, Marketing Mix Modelling, Attribution Modelling และการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงทรงพลังก็ต้องใช้ทั้งพื้นที่ เช่น Brand Platform และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ผู้คนอยากเข้ามามีส่วนร่วม
โลกธุรกิจปี 2026 เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในนั้นก็ยังมี ‘โอกาสใหม่’ ให้กับผู้ประกอบการที่พร้อมปรับตัว 10 เทรนด์ที่เราได้สรุปข้างต้นล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยผู้ประกอบการให้ก้าวทันโลก เติบโตอย่างแข็งแรง และพร้อมคว้าโอกาสในทุกสถานการณ์
นี่เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่ง สามารถติดตามรายละเอียดเจาะลึกได้แบบเต็ม ๆ ในงาน The Secret Sauce Summit 2025 เทศกาลธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 16–17 ก.ย. 2025 | UOB LIVE, 5-6 Floor, EMSPHERE