ในยุคที่กระแส AI พุ่งสูง หลายองค์กรต่างทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับเผยความจริงที่น่าตกใจว่า โครงการ AI เชิงธุรกิจกว่า 95% ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้า
Table of Contents
- ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่…แต่รวมถึงโครงการเล็กๆ ด้วย
- รายงานวิจัย “The GenAI Divide: State of AI in Business 2025” จาก MIT Sloan & BCG
- 1. ปัญหาจากความคาดหวังที่สูงเกินจริง
- 2. ปัญหาจากช่องว่างในการบูรณาการ (Integration Gap)
- 3. การขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจน
- 4. ปัญหาด้านองค์กรและการจัดการ
- 5. ปัญหาด้านภาระการตรวจสอบ (Verification Tax)
- การลงทุนใน “เทคโนโลยี” เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
- แต่การลงทุนใน “ผู้นำที่เข้าใจเทคโนโลยี” ต่างหากคือจุดสิ้นสุดของความสำเร็จ
ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่…แต่รวมถึงโครงการเล็กๆ ด้วย
นี่เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ขนาดของโครงการ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในด้านการบริหารจัดการและความเข้าใจที่ผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ยังขาดอยู่
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลังวางแผนนำ AI มาใช้ในส่วนงานเล็กๆ หรือกำลังทำ AI Transformation ที่เป็นขนาดใหญ่ขององค์กรทั้งหมด การทำความเข้าใจ “บทเรียนจากความล้มเหลว” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
คำถามคือ “ทำไม?” และ “เราจะแก้ไขได้อย่างไร?”
รายงานวิจัย “The GenAI Divide: State of AI in Business 2025” จาก MIT Sloan & BCG
ชี้ให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี แต่คือปัจจัยอื่นที่หลายคนมองข้าม ! หากคุณคือผู้บริหารหรือนักลงทุน นี่คือ 5 บทเรียนสำคัญที่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้
1. ปัญหาจากความคาดหวังที่สูงเกินจริง
หลายธุรกิจมองว่า AI คือ ตัวช่วยทางลัด หรือทางออกที่ง่ายและรวดเร็วสำหรับทุกปัญหา ทำให้เกิดภาพลวงตาว่า AI จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ทันที แต่ในความเป็นจริง การนำ AI มาใช้ในองค์กรให้ได้ประสิทธิภาพเป็นเรื่องซับซ้อน ต้องอาศัยการวางแผนและปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างรอบคอบ
✅ วิธีแก้: ลองเริ่มจากปัญหาเล็ก ๆ และวัดผลได้ง่ายก่อน
แทนที่จะพยายามเปลี่ยนทั้งองค์กรในคราวเดียว ควรเริ่มจากการนำ AI มาใช้แก้ปัญหาเฉพาะจุดที่มีความสำคัญ เช่น การลดขั้นตอนการทำงานซ้ำ ๆ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ แล้วค่อย ๆ ขยายผลเมื่อเห็นความสำเร็จที่ชัดเจน
เช่น
- เลือก Use Case ที่ทำง่ายแต่เห็นผลชัด: งานที่ทำซ้ำ ๆ เช่น การร่างเอกสาร หรือการตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้น มักเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะผลลัพธ์ชัดและทีมเห็นประโยชน์ทันที
- ตั้งเป้าหมายชัดเจนและวัดผลได้: กำหนด KPI ง่าย ๆ เช่น ลดเวลาการทำงานลง 30% หรือเพิ่มความเร็วในการตอบลูกค้า 50% เพื่อดูผลลัพธ์จริงก่อน
- ใช้ผลลัพธ์จริงเป็นแรงเสริม: เมื่อโครงการเล็ก ๆ เริ่มสำเร็จ ให้นำข้อมูลและผลลัพธ์เหล่านั้นไปสร้างความเชื่อมั่นในทีมและผู้บริหาร เพื่อขยายโครงการต่อไปได้อย่างมั่นใจ
2. ปัญหาจากช่องว่างในการบูรณาการ (Integration Gap)
ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี แต่เป็นการที่องค์กรไม่สามารถผสาน AI เข้ากับระบบและขั้นตอนการทำงานที่มีอยู่เดิมได้ หรือไม่ถูกผูกเข้ากับระบบหรือขั้นตอนที่คนในองค์กรใช้อยู่ทุกวัน สุดท้าย AI ก็กลายเป็น “ของเล่น” ที่ลองแล้วก็วางทิ้ง
✅ วิธีแก้: เน้นการออกแบบกระบวนการใหม่
ก่อนนำ AI มาใช้ ให้วิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานปัจจุบันอย่างละเอียด แล้วออกแบบกระบวนการใหม่ที่รวม AI เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้พนักงานสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกที่สุด
เช่น
- เริ่มจากดูขั้นตอนการทำงานจริง ๆ ของทีม เช่น โปรแกรมที่ใช้, Task งานที่ต้องทำในแต่ละวัน
- หาจุดที่ AI เข้าไปช่วยได้ง่าย เช่น ช่วยร่างอีเมลให้เร็วขึ้น, สรุปข้อมูลลูกค้าให้อัตโนมัติ, หรือทำรายงานอัตโนมัติจาก Excel
- ผูก AI เข้ากับเครื่องมือที่ทีมใช้อยู่แล้ว อาจช่วยให้ทีมใช้จริงได้มากขึ้น
3. การขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจน
- เลือกใช้ AI ผิดโจทย์: หลายองค์กรเลือกใช้ AI ทั่วไปมาใช้โดยไม่ได้เช็กว่ามันตอบปัญหาธุรกิจจริง ๆ หรือไม่
- ขาดเป้าหมายที่วัดผลได้: การนำ AI มาใช้โดยไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน (เช่น เพิ่มรายได้หรือลดต้นทุน) ทำให้ไม่สามารถประเมินผลสำเร็จของโครงการได้อย่างแท้จริง
✅ วิธีแก้: กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม
- เริ่มจาก “โจทย์ธุรกิจ” ไม่ใช่ “ของเล่นเทคโนโลยี”
- ถามตัวเองก่อนว่า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจเราคืออะไร?” เช่น ต้นทุนการผลิตสูงเกินไป? ลูกค้าเลิกใช้บริการเร็วเกินไป? ทีมใช้เวลาทำเอกสารมากเกินไป?
- จากนั้นค่อยคิดว่า AI จะช่วยแก้ตรงนั้นได้ยังไง
- เลือก AI ที่เหมาะกับงาน ไม่ใช่เลือกเพราะดัง
- งานด้านลูกค้าสัมพันธ์ → ใช้ AI ด้าน Conversation
- งานด้านการเงิน → ใช้ AI วิเคราะห์ตัวเลข + คาดการณ์
- งานกฎหมาย → ใช้ AI ที่เน้น Document Processing
- หลักการ: งานแต่ละแบบต้องการเครื่องมือเฉพาะ ไม่ใช่เอา ChatGPT มาแก้ทุกอย่าง
- ตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้ (Define Success Metrics)
- เช่น ต้องการ ลดต้นทุน Call Center 30%, ลดเวลาเขียนรายงานครึ่งหนึ่ง, หรือ เพิ่มยอดขาย Cross-sell 20%
- ทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน → จะได้รู้ว่าโครงการนี้ “คุ้ม” หรือไม่
- ทำ Roadmap ที่มี Quick Win + Vision ระยะยาว
- ระยะสั้น: โครงการเล็กที่เห็นผลใน 1–2 เดือน เช่น chatbot ตอบลูกค้าอัตโนมัติ
- ระยะกลาง: ปรับระบบหลังบ้าน เช่น ใช้ AI จัดการเอกสาร/สัญญา
- ระยะยาว: Transform องค์กรด้วยระบบ AI ครบวงจร
4. ปัญหาด้านองค์กรและการจัดการ
- ข้อมูลไม่มีคุณภาพ ไม่ใช่เพียงปัญหาด้าน Data อย่างเดียว แต่สะท้อนว่า Digital Ecosystem ขององค์กรยังไม่พร้อม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ระบบจัดเก็บข้อมูล (Database, Data Lake, Cloud), วิธีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแผนก (Integration), ขั้นตอนการทำงานที่ใช้ข้อมูลจริง (Workflow) ไปจนถึงมาตรฐานในการดูแลและกำกับข้อมูล (Data Governance)
- การขาดความร่วมมือกับทีม: โครงการ AI จะล้มเหลวหากขาดการสนับสนุนจากผู้นำและทีมงานที่ต้องนำไปใช้งานจริงไม่ให้ความร่วมมือ
- ทำเองทุกอย่างโดยไม่พึ่งผู้เชี่ยวชาญ: หลายองค์กรเลือกพัฒนา AI เองทั้งหมด แม้ทีมยังไม่พร้อม สุดท้ายเสียเวลาและงบประมาณมากกว่าที่ควร รายงานยังชี้ว่าการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จได้ถึง 2 เท่า
✅ วิธีแก้: สร้างความร่วมมือและเน้นการบริหารจัดการข้อมูล
- ลงทุนในการวางระบบ: รวมศูนย์ข้อมูลให้อยู่ระบบเดียว และวางมาตรฐานการเก็บ/อัปเดตเพื่อลดความซ้ำซ้อน
- สร้างวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง: ผู้บริหารต้องสื่อสารชัดเจนว่า AI จะช่วยให้งานง่ายขึ้น กระตุ้นให้ทีมเปิดใจและร่วมมือไปด้วยกัน
- ดึงผู้ใช้งานจริงเข้ามา: ให้ทีมที่ต้องใช้ AI ร่วมออกแบบและทดสอบตั้งแต่ต้น เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานจริง
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: เริ่มต้นโครงการเล็ก ๆ ร่วมกับ Partner เพื่อเรียนรู้ Best Practice และเร่งให้ทีมภายในเก่งขึ้นเร็วกว่าเดิม
5. ปัญหาด้านภาระการตรวจสอบ (Verification Tax)
AI มีแนวโน้มที่จะ “มั่นใจในความผิดพลาด” (confidently wrong) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถให้คำตอบที่ผิดพลาดได้อย่างมั่นใจ ทำให้พนักงานต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นในการตรวจสอบผลลัพธ์ที่สร้างโดย AI ภาระการตรวจสอบนี้ไม่เพียงแต่ลดประสิทธิภาพ แต่ยังบั่นทอนความน่าเชื่อถือและผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว
✅ วิธีแก้: ออกแบบระบบให้มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
แทนที่จะให้ AI ทำงานทั้งหมด ควรใช้ AI เพื่อเป็นผู้ช่วยในการสร้างร่างแรกหรือวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น เช่น
- ให้ AI ทำงานร่างแรก (Draft / Pre-Analysis): เช่น ให้สรุปข้อมูล สร้างไอเดีย หรือวิเคราะห์เบื้องต้น → ลดเวลาทำงานซ้ำ ๆ
- ให้คนเป็นผู้ตรวจสอบขั้นสุดท้าย: มนุษย์ยังคงเป็นผู้ตัดสินใจ โดยใช้ประสบการณ์และบริบทที่ AI ไม่รู้ เช่น ความต้องการของลูกค้าหรือกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม
- วาง Workflow ที่ชัดเจน: กำหนดขั้นตอนว่า AI จะส่งต่อผลลัพธ์ให้ใครตรวจ → ลดความสับสน และไม่ให้ใครรู้สึกว่าต้อง “ตรวจทุกอย่างเองหมด”
- ใช้ Human-in-the-Loop (HITL): ทุกครั้งที่มนุษย์แก้ไขผลลัพธ์ ให้ระบบเรียนรู้ต่อ → AI จะฉลาดขึ้นและผิดพลาดน้อยลงในอนาคต
- สร้าง Dashboard ติดตามความแม่นยำ: เก็บสถิติว่า AI ตอบถูกกี่ % และผิดกี่ % → เพื่อวัดว่าการลงทุนยังคุ้มค่าอยู่หรือไม่
การลงทุนใน “เทคโนโลยี” เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
แต่การลงทุนใน “ผู้นำที่เข้าใจเทคโนโลยี” ต่างหากคือจุดสิ้นสุดของความสำเร็จ
หากไม่อยากให้องค์กรของคุณกลายเป็นหนึ่งใน 95% ที่ล้มเหลว
คุณก็เป็น 5% ที่ประสบความสำเร็จได้ หากมี Framework และกลยุทธ์ที่ถูกต้อง !
Digital Leadership Bootcamp คือคำตอบ ! การันตีเสียงตอบรับจากผู้บริหาร 5 รุ่นที่ผ่านมา ว่าเป็นหลักสูตรที่ Transform องค์กรได้จริง และที่สำคัญ! คุณจะพร้อมใช้ความรู้จาก Bootcamp นี้ในการวางกลยุทธ์ธุรกิจปี 2026 ได้ทันที ดูรายละเอียดหลักสูตร
Digital Leadership Bootcamp รุ่นที่ 6 หลักสูตรเดียวที่จะติดอาวุธทางความคิดและกลยุทธ์ เพื่อยกระดับคุณสู่การเป็น “AI-Ready Leader” ที่สามารถ:
✅ เปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส: วางกลยุทธ์ AI ที่สร้างผลตอบแทนได้จริง และขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน
✅ ผสานธุรกิจและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน: สร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่แข็งแกร่งให้พร้อมในการทำ AI Transformation
✅ ปลดล็อกศักยภาพทีม: สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่กล้าคิด กล้าลงมือทำ และพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในโลกดิจิทัลไปด้วยกัน
🚨 จำกัดเพียง 60 ที่นั่งเท่านั้น
นี่คือจังหวะสำคัญที่จะทำให้คุณมี AI Strategy ที่พร้อมใช้จริงในปี 2026
อย่าปล่อยให้ธุรกิจของคุณเป็นส่วนหนึ่งของสถิติที่ล้มเหลว… ถึงเวลาแล้วที่คุณจะก้าวข้ามความท้าทาย และเป็นผู้นำที่สามารถเปลี่ยน AI ให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน สมัครเลย