well-being - pmat | Skooldio

องค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Well-being จะได้เปรียบทั้งในการดึงดูดคนใหม่ ๆ และการรักษาคนเก่ง ๆ ให้อยู่กับองค์กรได้อย่างยั่งยืน

สรุป Session Workforce Wellbeing with People Analytics โดยคุณสุภาพร บัญชาจารุรัตน์ – ผู้อำนวยการสายทรัพยากรบุคคล, เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล และ คุณสุดคนึง ขัมภรัตน์ – นายกสมาคม PMAT ในงาน Thailand HR Tech 2025 PMAT – Personnel Management Association of Thailand

ทุกคนอาจมองภาพ Well-being ว่าดูเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ บางคนคิดว่าเป็นเพียงค่าใช้จ่าย แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเทรนด์ที่โลกกำลังจับตามองเรื่องนี้ เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่กำลังสนใจเรื่อง Well-being เพราะการที่ลูกจ้างมีความสุข องค์กรก็จะดีตามไปด้วย 

เจาะลึก 7 มิติของ Well-being องค์กรยุคใหม่

สุขภาวะกาย (Physical Well-being)

การดูแลร่างกายให้แข็งแรง เช่น การออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี และส่งเสริมพฤติกรรมการกินที่ดี

สุขภาวะจิต (Mental Well-being)

สร้างสมดุลทางอารมณ์ ลดความเครียด และการเข้าถึงบริการให้คำปรึกษา

สุขภาวะทางจิตวิญญาณ (Spiritual Well-being)

ส่งเสริมการมีสติ สมาธิ และเป้าหมายในชีวิต

สุขภาวะทางสังคม (Social Well-being)

การมีเพื่อนร่วมงานที่ดี บรรยากาศการทำงานที่เกื้อหนุน และการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม

สุขภาวะสิ่งแวดล้อม (Environmental Well-being)

พื้นที่ทำงานที่ปลอดภัย สะอาด อากาศดี มีแสงธรรมชาติ และส่งเสริมสุขภาพ 

สุขภาวะทางการเงิน (Financial Well-being)

ให้ความรู้เรื่องการบริหารเงิน วางแผนเกษียณ และดูแลค่าใช้จ่ายสุขภาพในระยะยาว 

สุขภาวะทางอาชีพ (Career Well-being)

สร้างโอกาสให้พนักงานเติบโต เช่น การสนับสนุนเส้นทางอาชีพของพนักงาน พัฒนาทักษะใหม่ และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าในงานที่ทำ

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของพนักงาน (Employee Healthcare Cost)

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 

  1. Direct Cost 30% เช่น ค่ายา หรือค่ารักษา
  2. Indirect Cost 70% เช่น การขาดงาน (Absenteeism) และการมาทำงานแต่ไม่เต็ม- ประสิทธิภาพ (Presenteeism) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่คุณภาพงานที่ลดลง ลูกค้าไม่พอใจ และเป็นต้นทุนแฝงในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ หรือพนักงานชั่วคราว 

    ดังนั้น การลงทุนในระบบดูแลสุขภาวะ เช่น HPM หรือเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึก จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืนสำหรับองค์กร

    ตัวอย่าง Case ของทางโรงพยาบาลพญาไท – เปาโล

    หลังจากการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ แล้วทางโรงพยาบาลจะมีการจัดระบบดูแลสุขภาพพนักงาน ผ่าน 3 Tools ได้แก่

    Tools 1: Let’s Get Healthy!

    เครื่องมือดูแลสุขภาพพนักงานครบวงจร เป็นโครงการจาก BDMS และ OHSU ที่พัฒนาเครื่องมือดูแลสุขภาพเชิงรุกแบบ Personalized 

    โดยเครื่องมือนี้จะครอบคลุมทั้งสุขภาวะกายและใจ ทุกข้อมูลที่เก็บจะถูกวิเคราะห์ออกมาเป็น Metabolic Report ที่โดยจำแนกตามแผนก (เช่น หากฝ่ายบัญชีมีแนวโน้มโรคอ้วน องค์กรสามารถติดตามจากพฤติกรรมการกิน และวางแผนช่วยเหลือเฉพาะจุดได้ทันที) 

    ดังนั้น การพัฒนาเครื่องมือดูแลสุขภาพนี้ สามารถลดการเสีย Productivity ได้ทั้งจากการลาป่วย และการมาทำงานแบบไม่เต็มประสิทธิภาพ

    Tools 2: HPM (High Performance Material) 

    เป็นมองเห็นภาพรวมสุขภาพทั้งองค์กร แยกตามเพศ อายุ และตำแหน่งงาน นอกจากเป็นการยกระดับเรื่องการดูแลสุขภาพ คุณภาพชีวิตแล้ว ก็ยังช่วยให้ HR บริหารต้นทุน ตัดสินใจเรื่องงบประมาณให้คุ้มค่า และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่จะนำไปสู่ Positive ROI จากการเพิ่ม Productivity ในการทำงาน

    Tool 3 : Healthy Together Model

    คือกระบวนการดูแลสุขภาพพนักงานที่ผสานข้อมูล Medical Result กับ Health Risk Behavior ให้ออกมาเป็น Health Report เพื่อให้ HR และองค์กรสามารถออกแบบแผนดูแลสุขภาวะได้อย่างตรงจุด โดยมีโครงสร้างหลัก 3 ขั้นตอน

    1. Health Report: รวมข้อมูลผลตรวจสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและคุณภาพชีวิตของพนักงาน
    2. Intervention Design: ออกแบบกิจกรรมดูแลสุขภาพเฉพาะกลุ่ม เช่น เวิร์กช็อป โภชนาการ ปรับสิ่งแวดล้อม
    3. Follow up: ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง พร้อมวัดประสิทธิภาพและ ROI จากการดูแลสุขภาพพนักงาน

    ตัวอย่างกิจกรรมจากเครือพญาไท–เปาโล ได้แก่ Healthy Hero กิจกรรมที่ส่งเสริมการลดน้ำหนักของพนักงานโดยให้พนักงานชั่งน้ำหนักในตอนเริ่มต้น และส่งภาพอาหารให้ทีมผู้เชี่ยวชาญ ตามความสมัครใจ โดยมีรางวัลเป็นแรงจูงใจ อีกทั้งทางโรงพยาบาลยังมีการทำแอป Get Health by Healthy Together เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายแก่พนักงานอีกด้วย

    องค์กรที่ยังมอง Well-being เป็นเพียงต้นทุน กำลังมองข้ามต้นเหตุของ Productivity ที่หายไป โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่องค์กรที่ใช้ข้อมูลสุขภาพอย่างเป็นระบบจะสามารถดูแลพนักงานได้ตรงจุด ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

    ในยุคที่ HR ต้องมากกว่าผู้จัดสวัสดิการ การใช้ข้อมูล ควบคู่กับใจ คือหัวใจของการดูแลคนแบบ Human-Centric อย่างแท้จริง HR ควรใส่ใจรายบุคคล ไม่เหมารวม ใช้ข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อออกแบบกิจกรรมให้ตรงจุด และบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างทั้งความสุขในการทำงานและความยั่งยืนให้องค์กรในระยะยาว

    เริ่มต้นดูแลสุขภาพใจ พร้อมรู้เท่าทันในตนเอง ไปกับคอร์ส Mental Health First Aid ทดลองเรียนได้ฟรี คลิกเลย!

    More in:Business

    Comments are closed.