“ถ้าเราไม่เปิด และไม่ยอมรับว่าเราไม่รู้ เราจะไม่มีวันเรียนรู้”
ส่วนหนึ่งจากคลาส Digital Leadership Bootcamp รุ่นที่ 5 สัปดาห์สุดท้าย โดยคุณเล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร Founder & CEO, MFEC
ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ Capatalism ชนะหมดทั้งโลก สิ่งที่จะทำให้ชนะได้คือ Velocity เพราะ Capatalism ต้องการให้คนบริโภคไวขึ้นผ่านการใช้ Technology
ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ทำให้ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่บางทักษะก็หายไป อย่าง ‘การรอคอย’
ใช้ IT เยอะก็ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยน เมื่อก่อนดูทีวีแค่ช่วงเดียว ตอนนี้ดู Netflix ทั้งคืน เล่นมือถือไปด้วย เพื่อกระตุ้น Dopamine ให้พอ สุดท้ายก็เคยชินกับการถูกกระตุ้น หาความตื่นเต้นไม่เจอ
‘ความเข้าใจ’ ก็เป็นทักษะสำคัญที่หายไป ถ้าไม่เข้าใจก็พัฒนาตัวเองไม่ได้ บริหารอะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าลูกน้อง ทีม หรือธุรกิจ ต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงถึงจะเอาตัวรอดในโลกที่หมุนเร็ว
และที่น่ากลัวกว่ากินอาหารคือ ‘สื่อที่เราบริโภค’ ทั้งสื่อที่บิดเบือนความจริงและสื่อที่มีอคติ ต้องรู้ว่าอะไรอันตราย แยกแยะให้ออกว่าสังคมแบบไหนดีไม่ดี อะไรสมดุลกับชีวิตเรา ทั้งเรื่องงาน ลูกค้า คู่ค้า หรือเพื่อน
🧑💻เทคนิคการอยู่อย่างสมดุลในยุค Digital เพื่อไม่ให้ถูกใครก็ตามหลอก❓
คุณเล้งเชื่อว่าเราทุกคนสามารถแข็งแรง ฉลาด และทำงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้ ถ้าเราปรับตัวเองให้อยู่ในจุดสมดุล แต่เราจำเป็นจะต้องเริ่มจาก ‘รู้ว่าเราไม่สมดุล’ หรือรู้ว่าเรามีจุดไหนที่สามารถพัฒนาได้
ตัวอย่างความเปิดกว้างและพร้อมจะเรียนรู้ของคุณเล้งคือการ Recruit คนของบริษัท MFEC เพราะแต่เดิมการหาคนเข้ามาทำงานเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก คนไม่ค่อยรู้จัก พนักงานจึงแนะนำให้คุณเล้งเป็น Influencer ไปออกรายการต่าง ๆ โดยมี Character ที่ชัดเจน เน้นพูดเรื่องคน และความผิดพลาดของตัวเอง และเมื่อคุณเล้งยอมเปิดกว้าง ยอมรับคำแนะนำจากน้อง ๆ และยอมที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ สิ่งนี้เองทำให้คุณเล้งเป็นที่จดจำผ่านการมี Style เฉพาะตัวและทำให้หลาย ๆ คนเริ่มสนใจในบริษัท MFEC และสมัครมาทำงานในที่สุด
การทำธุรกิจเช่นเดียวกัน เราต้องรู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน ถ้าเราเข้าใจว่าผู้บริโภคต้องการอะไร แล้วเจาะได้ถูก ก็จะสามารถทำรายได้ได้มาก เช่น ในยุคนี้คนหันมาให้ความสนใจกับซีรีย์วายหรือ Yuri กันเป็นจำนวนมาก การทำสินค้าที่ Partner กับศิลปินที่อยู่ในวงการนี้ก็สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้มาก และสร้างยอดขายได้มากเช่นเดียวกัน
🧑💻สมดุลต้องฝึกฝน อีโก้ต้องกระเทาะ แล้วเทคนิคอะไรที่ทำให้เราเห็นโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น❓
โลกที่ให้ความนิยมกับความเร่ง คุณค่าบางอย่างจะหายไป เช่น การดื่มไวน์จะอร่อยได้ ต้องยิ่งช้า ดังนั้น เราต้องรู้ว่าทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมัน ไม่ว่าจะความเร็ว หรือความช้า ถ้าเราไม่เห็นความสวยงามของความช้า เราก็จะไม่สามารถเร่งสปีดได้
เวลาทำงานก็เช่นเดียวกัน เราต้องมีช่วงเวลา slow เพื่อให้เห็นข้อผิดพลาด และกลับมาวางแผนเพื่อให้ดีดตัวได้แบบก้าวกระโดด
หรือถ้าเราเป็นหัวหน้าที่ใจดีเกินไป น้อง ๆ รัก แต่จริง ๆ แล้วการทำแบบนี้เป็นการทำลายทั้งตัวน้อง ๆ เองและตัวเองด้วย เพราะคนไทยโดยพื้นนั้นต้องการความโหดเหี้ยมและดุดันเพื่อดึงศักยภาพออกมา ถ้าหากหัวหน้าใจดีเกินไปก็จะขาดสมดุล เวลาน้อง ๆ มีปัญหา เราก็หาทางออกให้ แต่น้อง ๆ ไม่เก่งขึ้น แต่ถ้าเลือกที่จะผลักดันน้อง ๆ ให้รู้จักคิดแก้ไขปัญหาเอง น้อง ๆ ก็จะเก่งขึ้น
🧑💻เมื่อรู้สึกว่าทีม Toxic เหมือนเป็นมะเร็ง เราจะจัดการอย่างไร ❓
ความน่าเชื่อถือของผู้นำมีหลายระดับ ตั้งแต่เชิงธุรกิจ คือทำท่าแบบไหนแล้วเวิร์ก แต่ระดับที่ลึกไปกว่านั้น คือความเชื่อในระดับอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจ Startup ที่สามารถรวมแรงทุก ๆ คนให้ไปด้วยกันได้ ผ่านสร้างความน่าเชื่อทางอารมณ์ ถ้าเราไม่เข้าใจเด็กรุ่นใหม่ก็จะไม่สามารถนำคนเหล่านั้นไปสู่จุดที่เราต้องการได้
Deadwood หรือสิ่งที่ Block ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นประกอบด้วย 4 อย่างคือ
– คนที่มีความสามารถ หรือทักษะไม่เพียงพอ
– คนที่ไม่สามารถจับประเด็นที่สำคัญได้
– คนที่อยู่แต่ใน Comfort Zone
– คนที่อยู่นานแล้วตาบอด เห็นแต่ข้อผิดพลาดของคนอื่นเสมอ แต่ไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง
ซึ่งคนที่มีลักษณะ 4 อย่างนี้จะเป็นตัวฉุดไม่ให้องค์กรก้าวหน้า ดังนั้นเราในฐานะผู้นำ เราต้องแยกให้ออกว่าใครเป็นคนแบบไหน มีทักษะอะไรที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท และกำจัดคนที่เราไม่ต้องการออกไป
🧑💻ทำอย่างไรเมื่อเราอยากเป็นผู้นำที่ฉลาด ไม่อยากโง่ ❓
ผู้นำมักอยากดูเก่ง แต่นี่ทำให้อีโก้บังตา ต้องหาคนมากระเทาะอีโก้เราลง อีโก้สูงทำให้ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ แต่ถ้ายอมรับว่าตัวเองไม่รู้ จะได้เรียนรู้ อีโก้แปรผกผันกับ Charisma ถ้าอยาก Control คน ต้องตัดอีโก้ตัวเองก่อน
#DigitalLeadershipBootcamp #DLB5 #DLBbySkooldio #Leadership