สรุปเซสชัน Lessons from My dad’s Journey: บทเรียนชีวิตและธุรกิจนอกตำราโดย คุณโจ้ – ธนา เธียรอัจฉริยะ เพจเขียนไว้ให้เธอ , คุณโมเนต์ – โมนิชา เธียรอัจฉริยะ, คุณฮิปปี้ – สมานชัย อธิพันธุ์อำไพ Leowood ลีโอวูด ไม้พื้นลามิเนต ไม้พื้นspc ประตู ส่งทั่วประเทศ , คุณลีโอ – สิงห์ อธิพันธุ์อำไพ ในงาน Digital SME Conference Thailand 2025
Table of Contents
- Lessons from My dad’s Journey
- ทำไมคุณพ่อถึงไม่บังคับให้ทำอะไรเลยตั้งแต่ตอนที่ตัวเองเด็ก ๆ
- สิ่งที่ได้เรียนกับสิ่งที่ได้ทำงานจริงแตกต่างกัน ทำไมคุณพ่อถึงอยากให้เจอโลกจริงมากกว่า?
- การทำคอนเทนต์
- เคล็ดลับในการเขียนของคุณโจ้-ธนา
- การส่งต่อธุรกิจ
- ทำยังไงให้อยู่ใน Environment ที่ห้อมล้อมไปด้วยคนเก่ง?
- จุดไหนถึงรู้สึก Comfortable ที่จะปล่อยมือจากธุรกิจ
- คำแนะนำถึงตัวเองตอนอายุเท่ากับลูก
Lessons from My dad’s Journey
คำถามทั้งหมดที่ลูก ๆ หยิบมาถามเหล่าคุณพ่อ ไม่มีการเตี๊ยมกันมาก่อนเลย มาเริ่มกันที่คำถามแรกจากคุณโมเนต์ลูกสาวคุณโจ้
ทำไมคุณพ่อถึงไม่บังคับให้ทำอะไรเลยตั้งแต่ตอนที่ตัวเองเด็ก ๆ
ตัวคุณโจ้เองก็ไม่ชอบถูกบังคับ เลยตามใจลูกมาตลอด แต่ถึงจุดนึงที่เวลามีคลาสวิ่งหรือการออกกำลังกาย ลูกไม่มีแรงไปสู้เพื่อน ตามเพื่อนไม่ทัน คุณโจ้เลยคิดว่าสิ่งนี้มันแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดในการเลี้ยงลูกหรือเปล่า ตอนนั้นคุณโมเนต์อยากปีนผ้า คุณโจ้เลยพาไปเรียน หลังจากได้ปีนผ้า แล้วเขามีความมั่นใจ ได้ลองทำอะไรบางอย่างแล้วสำเร็จ สุดท้ายแล้วลูกได้สนุกกับการลองทำอะไรใหม่ ๆ ไปด้วยตัวเอง
สิ่งที่ได้เรียนกับสิ่งที่ได้ทำงานจริงแตกต่างกัน ทำไมคุณพ่อถึงอยากให้เจอโลกจริงมากกว่า?
คุณโจ้รู้สึกว่า ยิ่งล้มเร็ว ยิ่งได้บทเรียนเร็ว สิ่งสำคัญที่คือการได้ลองทำอะไรเยอะ ๆ เมื่อได้เรียนวิชานอกตำราในโลกการทำงานมาก ก็จะยิ่งเห็นโลกและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
ส่วนคุณฮิปปี้เห็นด้วยว่า โลกการศึกษากับโลกการทำงานมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงเริ่มให้คุณลีโอทำคอนเทนต์
การทำคอนเทนต์
ว่าด้วยเรื่องการทำคอนเทนต์ของคุณลีโอ คุณฮิปปี้บอกว่าตนอยู่ในโลกออนไลน์ค่อนข้างเยอะ เขาเลยจะอยากจะ Bet กับการสร้างตัวตนกับการสร้างอนาคต
จุดประสงค์คือ ถ้าวันนี้มีอะไรสักอย่างที่ส่งผลดีกับคุณลีโอจริง ๆ เขาก็อยากจะผลักดันสิ่งนี้ให้ลูก ซึ่งเรื่องที่ว่าก็คือการสร้างตัวตนบนโลกโซเชียลนั่นเอง
ตอนแรกคุณลีโอลองทำคลิปแนวธุรกิจ ซึ่งยังทำได้ไม่ดีมากในตอนแรก
แต่พอเริ่มฝึกตัวเองให้เก่งขึ้น และหาแนวทางคลิปของตัวเองได้ ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
คุณฮิปปี้บอกว่า ถ้าเราอยากให้ลูกทำอะไรบางอย่าง คือเราต้องทำก่อน เพราะลูกจะเหมือนใครสักคน ถ้าไม่เหมือนพ่อ ก็เหมือนแม่เขา ถ้าบังคับเขาไม่ได้ ก็หล่อหลอม ตะล่อม วน ๆ ไปเรื่อย ๆ
เคล็ดลับในการเขียนของคุณโจ้-ธนา
กลับมาที่ฝั่งคุณโจ้ คุณโมเนต์ได้ถามถึงเคล็ดลับในการเขียน ทำยังไงให้ไม่หมดไฟ มีอะไรให้เขียนตลอดเวลา
ความหมายเบื้องหลังของเพจเขียนไว้ให้เธอ คือการเขียนบางสิ่งบางอย่างไว้ให้ลูกทั้งสองคน ก่อนหน้านี้รุ่นคุณพ่อของคุณโจ้เองก็เคยเขียนไว้ในจดหมาย แต่พอ Facebook มาถึง คุณโจ้ก็ได้เปลี่ยนไปเขียนลงเพจแทน
ตอนนั้นลูกอ่านแล้วก็อาจจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขียน แต่พอโตมาเขาจะเริ่มเข้าใจ เลยอยากเขียนเก็บไว้ เป็นเหมือน Article Bank ที่คุณโจ้ตั้งใจเขียน เขียนดีไม่ดีไม่รู้ แต่มีความปรารถนาดี และหวังว่าวันนึงลูกสาวจะได้อ่าน
หาไอเดียในการทำคอนเทนต์มาจากไหน? คือหนึ่งคำถามจากคุณโมเนต์
ส่วนหนึ่งคือมาจากประสบการณ์ในอดีต แต่ตอนเขียนใหม่ ๆ ก็เคยเอาคนดังในโลกมาเขียนถึง แต่พอได้ฟังคุณโน้ตอุดมพูดว่า “รู้บางกะปิอย่าไปเล่ายุโรป” แล้วคุณโจ้ก็รู้สึกประทับใจมาก สุดท้ายเขาเลยเลือกจะเขียนในสิ่งที่เขาชอบ ประเด็นไหนน่าสนใจก็หยิบเอามาเขียนเลย เรื่องรอบ ๆ ตัวที่ฟังแล้วชอบ คุณโจ้ก็ระบายออกในงานเขียน เหมือนผู้ใหญ่ในไลน์ที่ชอบเรื่องนี้เลยแชร์ไปให้ลูก
การส่งต่อธุรกิจ
ในด้านการส่งต่อธุรกิจจากมือคุณฮิปปี้ให้คุณลีโอ คุณฮิปปี้เล่าถึง Pain ของการเป็นเจน 2, เจน 3 ในการรับธุรกิจมาจากที่บ้าน โดยคุณฮิปปี้เล่าว่าเจน 1 ที่จะส่งต่อธุรกิจให้รุ่นถัดไป ก็ต้องถอยกลับมาดูว่าธุรกิจที่เราทำนั้นมันคืออนาคต อดีตและปัจจุบันของเรา และเราเองก็กำลัง ‘หวัง’ ว่ามันจะเป็นอนาคตของเจนถัดไปใช่ไหม
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมลูกถึงไม่กลับมาทำงานที่บ้าน คงต้องถามตัวเองว่าธุรกิจเรานั้นเซ็กซี่มากพอไหม? พร้อมไปต่อจริงหรือเปล่า?
ในวันที่คุณลีโอไปเรียน คุณฮิปปี้เองก็ขายของอยู่ ถ้าเป็นในวันนั้นที่ยังเป็นโมเดลธุรกิจปกติ เขาคงไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ แต่ในตอนนี้คุณฮิปปี้เห็นแล้วว่ามันน่าจะไปต่อได้
ดังนั้น ถ้าจะเอาลูกหลานกลับมาทำงาน มันก็ต้องเป็นที่ที่เขาสามารถไปต่อได้ในอนาคตจริง ๆ และวิธีการที่ทำให้เขาอยู่กับเราได้อย่างจริงจัง คือ ‘ถ้าทำอะไร Success = นั่นคือความสำเร็จของคุณ’
ส่วนอะไรที่พ่อแม่ทำมาแล้วมันไม่ดี ก็ไม่ต้องทำตาม ให้มันจบในรุ่นเรา
ด้านคุณลีโอก็เล่าว่าจุดที่ทำให้ตัวเองกลับมาธุรกิจก็เป็นเพราะคุณพ่อบอกว่าจะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นท้าทาย
ทำยังไงให้อยู่ใน Environment ที่ห้อมล้อมไปด้วยคนเก่ง?
ในโลกการทำงาน บางครั้งทักษะที่สอนกันยาก อาจไม่ใช่เรื่องความรู้หรือความสามารถ แต่คือการเป็นคนที่ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย
Warren Buffet เคยบอกว่าพยายามอยู่ในที่ที่ทำให้เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ คนในที่นั้น ๆ เขาอยากให้เราไปอยู่ด้วยไหม? นี่คือความสำคัญของ ‘Likeable’ ทำยังไงให้ผู้ใหญ่เอ็นดู เพื่อนรัก และเพื่อนร่วมงานสบายใจเวลาอยู่ด้วย
คุณโจ้เล่าว่า ต้องเป็นเหมือนการปลูกต้นไม้ เพราะสิ่งนี้ใช้เวลาแต่ได้ผลในระยะยาว เช่น การช่วยเหลือคน ยิ่งเราสะสมคำขอบคุณยิ่งดี ทำให้เราอยู่ในดงของ Giver ที่ต่างช่วยเหลือกันและกัน
เพราะในเวลาคัดคนเข้ามาทำงานเอง ลองนึกภาพตามดูว่าถ้ามีคนทักษะใกล้เคียงกัน แต่สุดท้ายเราก็อยากเลือกคนที่เราอยากพาไปนั่งกินข้าววงใหญ่ด้วย ไม่ใช่คนที่ถ้าพาไปแล้วเราต้องหาทางย่องหนี
จุดไหนถึงรู้สึก Comfortable ที่จะปล่อยมือจากธุรกิจ
คำถามจากคุณลีโอถึงคุณฮิปปี้ว่าจะต้องถึงจุดไหนถึงรู้สึก Comfortable ที่จะปล่อยมือธุรกิจ
คุณฮิปปี้กล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มั่นใจว่าคุณลีโอจะไปต่อได้ ตอนนั้นก็พร้อมทันทีเลย ในเรื่องการทำงานมันต้องทั้ง เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เขาต้องทำงานให้ได้ก่อน บริษัทอยู่ได้เพราะมี New S-Curve จาก Business Model ใหม่ ๆ ถ้าทำให้เขาสร้าง New S-Curve สร้างอะไรบางอย่างด้วยตัวเองได้จริง ๆ ซึ่ง 2-3 ปีก็ถือว่าเป็นเวลาสมควรที่จะปล่อยธุรกิจให้เขา
คำแนะนำถึงตัวเองตอนอายุเท่ากับลูก
และคำถามสุดท้าย ถ้าย้อนกลับไปให้คำแนะนำตัวเองตอนอายุเท่ากับลูก ๆ ได้ อยากแนะนำอะไร
แน่นอนว่าย้อนกลับไปยุคคุณโจ้และคุณฮิปปี้แตกต่างจากตอนนี้มาก
ทางคุณโจ้บอกว่า สิ่งเดียวที่พอจะแนะนำได้ คือการออกกำลังกาย อาจจะดูเป็นคำแนะนำที่แปลกมาก แต่พอเราแก่เราจะต้องการร่างกายที่ดีเรื่อย ๆ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังสร้างวินัย ถ้าเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่เด็กก็ยิ่งมีค่ามาก
ในด้านคุณฮิปปี้อยากแนะนำว่า พยายามใช้สิ่งที่พ่อแม่สร้างไว้ให้มากที่สุด ทั้ง Know-How ทั้งคนรู้จักพี่ ๆ เพื่อน ๆ ทุกคน เพราะคนที่เก่งที่สุดคือคนที่มีคนรักและเอ็นดูมากที่สุด