Skooldio พาทุกคนมารับชมศึกดวลเดือดระหว่าง ‘หมอดู’ และ ‘AI’ ในรายการ Living with AI EP.4 เมื่อตัวแทนจากศาสตร์การทำนายโบราณ คุณแรปเตอร์ สิรภพ อัตโตหิ หมอดู ศิลปิน และนักเคลื่อนไหว มาเจอกับ 2 ดร. จาก MIT ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ดร.พีพี-พัทน์ ภัทรนุธาพร และ ดร.ต้า วิโรจน์ จิรพัฒนกุล
Table of Contents
ทำไมมนุษย์ถึงอยากรู้อนาคต
โชคชะตานี้เป็นลิขิตฟ้า หรือเป็นตัวข้าที่ลิขิตเอง?
ดร.พีพี-พัทน์ ภัทรนุธาพร นักเทคโนโลยีจาก MIT Media Lab ได้เล่าให้เราฟังว่า เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่อยากจะรู้อนาคต ไม่ว่าจะตั้งแต่อดีตก่อนหน้านี้ หรือจนถึงปัจจุบัน มนุษย์พยายามอยากที่จะรู้อนาคตตลอด เพราะเราอยากให้ความยุ่งเหยิงของจักรวาลนั้น ‘พอที่จะคาดเดาได้’ เพื่อให้เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป
ด้านคุณแรปเตอร์-สิรภพ อัตโตหิ หมอดู ศิลปิน และนักเคลื่อนไหว เล่าว่าคนเราอยากรู้อนาคตเพราะอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เพื่อที่ตัวเองจะได้ เปลี่ยนแปลง หรือรับมือ กับมันได้
AI กับการพยากรณ์อนาคต
จากอดีตจนถึงปัจจุบันมนุษย์เราสร้างกระบวนการต่าง ๆ ในการพยากรณ์อนาคตมากมากมาย ดร.พีพียกตัวอย่างการพยากรณ์อนาคตในทางวิทยาศาสตร์ อย่างการใช้ Data หรือข้อมูล เพราะเชื่อว่าอนาคตต้องมีรากฐานมาจากอดีต ถ้าเรารู้ว่าอดีตมีแพทเทิร์นอย่างไรเราก็จะสามารถสร้างอนาคตได้
AI เองก็มีรากฐานมาจากสิ่งที่เรียกว่า Predictive Statistics ดร.พีพีอธิบายว่าสิ่งนี้ก็คือสถิติที่ใช้ในการพยากรณ์ โดยการนำเอา data ในอดีตมาสร้างเป็นโมเดลทางคณิตศาสตร์ เพื่ออธิบายว่า ปรากฏการณ์ในอดีตนั้นมีรูปแบบหรือแพทเทิร์นยังไง ซึ่งถ้าเราเอาแพทเทิร์นนั้นขยายไปเรื่อย ๆ มันก็จะกลายเป็นแพทเทิร์นในอนาคต
AI เรียนรู้การทำนายอย่างไรบ้าง
1. ในระดับส่วนบุคคล : ดร.พีพียกตัวอย่างจากการใช้งาน Dating Apps ที่ทุกวันนี้คนค่อนข้างนิยมใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้ในการหาคู่ ซึ่งแอปพลิเคชันมันก็จะเรียนรู้ว่าเราชอบคนแบบไหน ปัดซ้ายปัดขวาให้ใคร แล้วก็พยายามเลือกว่าคนแบบไหนที่เรามีแนวโน้มที่จะชอบ ซึ่งนี่ก็คือการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าถ้าคนคนนี้เจอกัน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
2. เรื่องสุขภาพ : ดร.พีพียกตัวอย่างโครงการ 23andMe ที่มีการนำเอา DNA ของเรามาทำนายว่าเรามีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งไหม โตขึ้นจะมีโรคอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็มาจากการที่เรา decoded พันธุกรรมของคน ๆ นั้น แล้วมีก็ข้อมูลจำนวนเยอะมากว่าถ้ามีคนที่มีพันธุกรรมแบบนี้ เขามีแนวโน้มจะเป็นยังไง แล้วนำเอาสิ่งนี้มา apply กับเราหรือ data ใหม่
ศาสตร์แห่งการพยากรณ์
คุณแรปเตอร์มองว่าทั้งวิทยาศาสตร์และการดูดวงสองสิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก เพราะจุดเริ่มต้นของการดูดวงก็เกิดขึ้นจากเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่คุณแรปเตอร์มองว่าแตกต่างกันของ วิทยาศาสตร์, Data กับการดูดวงคือ การดูดวงมีการใช้บางอย่างที่เราไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร
คุณแรปเตอร์เล่าว่าการดูดวงนั้นผูกโยงเข้ากับความเชื่อและศาสนา อยู่บนรากฐานที่เชื่อว่า จักรวาลมีแพทเทิร์นบางอย่าง ชีวิตมนุษย์เองก็มีแพทเทิร์นบางอย่างที่ถูกกำหนดโดยบางสิ่ง ที่เราอาจจะเรียกว่าพระเจ้า, จักรวาล หรือ higher-self ซึ่งการดูดวงก็มีหลายศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น
1. Astrology โหราศาสตร์ : เป็นศาสตร์ของการใช้ดาว ใช้วิธีการมองหาดาว มองว่าแต่ละดาวทำงานอย่างไร มีแพทเทิร์นอย่างไร เพราะฉะนั้นมันคือสิ่งที่ shape หรือหล่อหลอมให้มนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาในช่วงเวลานี้ มีดาวที่กำกับ ที่ทำมุมกันในช่วงเวลาเกิดนี้ เกิดมาเป็นแบบนี้ แล้วชีวิตก็จะดำเนินไปผ่านดาวที่เคลื่อนไป ส่งอิทธิผลต่อตัวคน
2. ไพ่ เช่น ไพ่ Tarot : ไพ่เองก็มองว่าชีวิตมนุษย์มีแพทเทิร์นบางอย่าง มีการสร้างไพ่ขึ้นมาเพื่อเป็นการทำนายแพทเทิร์นเหล่านั้น ซึ่งตัวไพ่เองก็จะมีระบบของการวางไพ่ว่า เมื่อไพ่ใบนี้มาเจอไพ่นี้จะบ่งบอกถึงอะไร ถ้าปรากฏขึ้นมาแบบนี้จะบอกเล่าชีวิตมนุษย์อย่างไร
3. ร่างทรง : ก็คือการทรงสิ่งที่มองไม่เห็น มีความเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้มองเห็นอนาคต รู้ได้ว่าจักรวาลเป็นอย่างไร จึงสามารถบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
อนาคตถูกกำหนดไว้แล้วหรือเราสามารถเปลี่ยนมันได้?
แม้ว่าเป็นหมอดูเหมือนกันแต่หมอดูแต่ละคนก็เชื่อไม่เหมือนกัน คุณแรปเตอร์เล่าว่าหมอดูแต่ละคนจะมีฐานความเชื่อที่แตกต่างกัน หมอดูบางคนเชื่อว่าอนาคตนั้นถูกกำหนดไว้หมดแล้ว 100% แล้วก็มีคนที่เชื่อว่าจริง ๆ มันเป็นแบบ 50:50 คือเราก็มีอำนาจบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตนั้นได้เมื่อเรารู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น
ด้านดร. พีพีฟังแล้วก็มองว่าน่าสนใจ พร้อมยกตัวอย่างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Self-Fulfilling Prophecy หรือการที่คำพยากรณ์นั้นเกิดขึ้นจริงเพราะว่าคน ๆ นั้นทำตามที่พยากรณ์ไว้
“คำพยากรณ์ไม่ใช่แค่สิ่งที่พยากรณ์หรือบอก ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่มันอาจจะสร้างให้อนาคตนั้นเกิดขึ้นจริงได้ด้วย”
ดร.พีพียกตัวอย่างอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Pygmalion Effect เช่น หากคุณครูมีการพยากรณ์ว่าเด็กคนนี้จะเก่งจะหรือไม่เก่ง เด็กก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อตามครู
เด็กที่ได้รับคำชมก็จะขยัน ตั้งใจเรียน ในขณะที่เด็กอีกคนที่ตอนแรกไม่ได้ฉลาดมากกว่าหรือน้อยกว่าอีกคนนึงแต่พอโดนคุณครูบอกว่าไม่เก่ง หรือ แย่เด็กคนนี้ก็จะ internalize หรือซึมซับแล้วก็เป็นแบบนั้น และมีผลลัพธ์ทางการศึกษาที่แย่ลงตาม
จากตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนที่ให้พยากรณ์ อย่างครู กับเด็กที่รับคำพยากรณ์ จนสุดท้ายก็เกิดคำพยากรณ์นั้นขึ้นมาจริง ๆ คุณพีพีได้ตั้งคำถามว่าถ้าเป็นแบบนี้ เราจะเรียกว่าคำพยากรณ์นั้นถูกหรือไม่? ในเมื่อการพยากรณ์ของครูสร้างผลกระทบให้มันเกิดขึ้นมาตามที่พยากรณ์ไว้จริง ๆ ในขณะที่ถ้าครูพยากรณ์อีกแบบผลลัพธ์ก็อาจจะเป็นอีกแบบนึงก็ได้
เชื่อหมอดู หรือ AI?
มาร่วมหาคำตอบไปด้วยกันว่าอนาคตแห่งการทำนายจะมีหน้าตาเป็นแบบไหนในยุคแห่ง AI กับรายการ Living with AI EP.4 AI x ดูดวง ใครกันที่ลิขิตชะตาอนาคต กับ ดร. พีพี MIT Media Lab และ คุณแรปเตอร์
เรื่องไหนควรเชื่อ AI เรื่องไหนควรเชื่อโหราศาสตร์? ในอนาคต AI ทำแทนได้หมดหรือไม่? แล้วถ้าเราให้ AI กับ หมอดู ดูดวงแข่งกันจะเป็นอย่างไร? สามารถรับชมรายการได้แล้ววันนี้ คลิก Living with AI EP.4