จิตวิทยาอ่านใจลูกค้าให้ #ขายดี ปี 2025 ที่จะช่วยคุณทำ Marketing ชนะคู่แข่ง!

“เราจะทำธุรกิจได้ดีขึ้น ถ้าเราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น”

สรุป Session Inside the Customer’s Mind 2025 เทรนด์จิตวิทยาผู้บริโภค ปี 2025 โดย คุณมัณฑิตา จินดา ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิทัล ทิปส์ จำกัด Digital Tips Academy ในงาน The Secret Sauce Summit 2024

แม้การฟังเสียงลูกค้าเพื่อให้เข้าใจว่าลูกค้า คิด หรือ รู้สึกอะไร จะช่วยให้ธุรกิจตอบโจทย์ลูกค้าได้ แต่อย่างไรก็ตามหลาย ๆ ปรากฏการณ์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการด้านการตลาดอย่างเดียว เช่น เวลาเห็นอะไรครั้งแรกอาจรู้สึกเฉย ๆ แต่พอเห็นซ้ำ ๆ ก็ชอบและกลายเป็นความรัก หรือกลายที่เราคล้อยตามสินค้าจากการที่ศิลปินที่เราชอบเป็นพรีเซนเตอร์ เรื่องราวเหล่านี้ หลักการจิตวิทยาสามารถอธิบายได้

เพราะหลักจิตวิทยานั้นจะศึกษาลึกไปถึง ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม และหากเราเข้าใจทั้งหลักจิตวิยาและการตลาด ก็จะช่วยให้เราทำการตลาดได้ดีขึ้น เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น นาฬิกาหลาย ๆ แบรนด์นั้นตั้งเข็มไว้ที่ 10 โมง 10 นาที นั่นอาจเพราะมันเป็นตำแหน่งที่ไม่บังโลโก้ แต่จริง ๆ แล้วตำแหน่งอื่น ๆ ก็ไม่บังเช่นกัน แต่การตั้งเข็มไว้ที่ 10 โมง 10 นาทีนั้นกลับทำให้ผู้บริโภครู้สึกดี เพราะตำแหน่งของเข็มทั้ง 2 ทำให้หน้าปัดนาฬิกานั้นเหมือนหน้ายิ้ม

=========
🔵 ในการเอาจิตวิทยาการตลาดมาใช้ในการทำธุรกิจนั้นจะตัองเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์​ 2 เรื่อง คือ

1️⃣ ระบบวิธีคิดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ
ระบบการคิดของมนุษย์ที่แบ่งออกเป็น 2 systems คือ System 1 – ตัดสินใจตามสัญชาตญาณ คือตัดสินใจรวดเร็วและเยอะกว่า และ System 2 – ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล คือการตัดสินใจแบบรอบคอบ

ซึ่งมนุษย์ไม่ได้ใช้เหตุผลหรือ System 2 ป็นหลักในการตัดสินใจ แต่ใช้ System 1 ต่างหาก และถ้าเรารู้แบบนี้แล้ว เราก็จะสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ในการทำการตลาดได้ เช่น คนส่วนใหญ่อ่านข้อความแบบสแกน อาจไม่ต้องเขียนคำสวยหรูเป๊ะ ๆ ในคำโฆษณาทุกอัน

และเพราะว่าในหนึ่งวันมีเรื่องต้องตัดสินใจเยอะมาก จนไม่สามารถใช้ System 2 ตัดสินใจทั้งหมดได้ดังนั้น การทำการตลาด เหตุผล ข้อมูล และตัวเลขอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ แต่จำเป็นจะต้องทำให้ลูกค้า ‘รู้สึก’ และตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น

2️⃣ Sense of Belonging
ความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้าลูกค้ารู้สึก ‘ไม่เป็นส่วนนึง’ หรือ ‘ไม่เข้าพวก’ นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้เราสูญเสียลูกค้าไป เราจึงต้องระวังในส่วนนี้มาก ๆ

ในอดีต spotlight มักจะส่องไปหาคนที่หน้าตาดี บุคลิกดีเพียงเท่านั้น แต่การทำการตลาดแบบนี้ทำให้คนหลาย ๆ คนรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง และอาจไม่ดีพอเมื่อเทียบกับสิ่งที่แบรนด์ตั้งใจโฆษณาไว้

ตัวอย่างเช่นแบรนด์ Victoria Secret ที่ในอดีตเน้นการโฆษณาจากนางแบบที่มีหุ่นเป๊ะเพียงเท่านั้น แต่ในปัจจุบันหันมาทำการโฆษณาจากคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีหุ่นที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้ผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์เองก็ยอมรับในความแตกต่างมากขึ้น
=========
🔵 DIVERSE & INCLUSIVE MARKETING ความแตกต่างหลากหลาย ความเท่าเทียม และการทำการตลาด

ในปัจจุบันลูกค้าไม่ได้ถามหาแค่คุณภาพของสินค้า แต่ถามถึงความดีหรือคุณค่าที่แบรนด์มอบให้สังคมด้วย โดยเน้นที่ 3 ประเด็นผ่านตัวอักษรอย่าง DEI คือ Diversity – Equity – Inclusion หรือ แบรนด์จะต้องโอบรับความแตกต่าง ความหลากหลาย และสร้างการมีส่วนร่วม

เช่น ลูกค้ากลุ่มอายุต่างกัน ภาษาและคำที่ใช้ก็จะต่างกัน ดังนั้นเวลาสื่อสารเราต้องสื่อสารด้วยภาษาของลูกค้า หรืออย่างแบรนด์ศรีจันทร์ที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ โฆษณาผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางด้วยพรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย

อย่างไรก็ตามการทำ DEI นั้นต้องไม่มองแค่ผลกำไรหรือรายได้ แต่ต้องเริ่มจากการศึกษาให้เข้าใต ค่อย ๆ ทำไป แต่ต้อง ‘ทำเท่าที่เชื่อ และทำเท่าที่อิน’ เพราะสุดท้ายลูกค้าจะรู้ว่าเราเชื่อในสิ่งนั้นจริงหรือไม่ และต้องทำแบบ Inside Out เริ่มปฏิบัติจากการทำในองค์กรก่อน ผู้นำเองจะต้องทำให้เรื่องของ DEI เป็นเรื่องปกติ และไม่ใช่แค่การเกาะกระแส แต่เป็นการสร้างสิ่งดี ๆ ให้สังคมอย่างแท้จริง

📍 Inclusive marketing is not a trend, It’s a movement


อยากเป็นผู้นำเทรนด์ 2025 สร้างอิมแพคให้ธุรกิจขายดี ต้องเริ่มจากในองค์กร 🔥
Skooldio พร้อมช่วยอัปสกิลให้องค์กรคุณ ‘เก่งขึ้นทั้งทีม’ !

ผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ | เวิร์กชอป | Bootcamp ที่ผสมผสานการเรียนรู้ด้วยเนื้อหาที่อัดแน่น และเน้นทำโปรเจกต์จริง
👉 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่


#Skooldio #TheSecretSauceSummit2024 #TheSecretSauce
#Marketing #Psychology #จิตวิทยา #การตลาด #Business #DigitalTips #DigitalTipsAcademy #ecommerce #การตลาดออนไลน์

More in:Business

Comments are closed.