“เปิดเทรนด์ Marketing 2025 สร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน ต้องอยู่ให้เป็น”

สรุป Session Ride The 2025 Marketing Wave ทะยานสู่อนาคตการตลาดปี 2025 โดย คุณอรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร adapter Digital Group ในงาน The Secret Sauce Summit 2024

คุณเอิร์ธ อรรถวุฒิ ได้แบ่งประเด็นในหัวข้อนี้ออกเป็น 3 อย่างคือ จุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด วิธีการรับมือของแบรนด์และวิธีที่จะทำให้แบรนด์หรือองค์กรไปได้ไกลกว่าเดิมในยุคปัจจุบัน

🔴🔴 Key Changes in Market and Industry

ตอนนี้ตลาดของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากทั้ง Population ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงผู้บริโภคในแต่ละ Generation ก็มีความต้องการที่ต่างกัน ทำให้เกิดพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากเดิม

🔸 Major Shift of Population
1) ตอนนี้อายุเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่ที่ 40.1 ปี ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก และจะส่งผลให้ Silver Generation เป็นกลุ่มที่เข้ามามีบทบาทในการบริโภคอย่างมาก ดังนั้นถ้าเราจะ Target Audience เพียงแค่คนรุ่นใหม่อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป

2) นอกจากนี้นิยามของคำว่า ‘Mass’ ได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อก่อนเราอาจจะมองว่าการตลาดจะเน้นกลุ่มคนในเมือง แต่ในปัจจุบันสัดส่วนของ Rural vs. Urban ได้เปลี่ยนไป และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิธีการรับสื่อของผู้บริโภคด้วย

3) High and Upper Middle Income จะกลายเป็นเดอะแบก เป็นแหล่งผู้บริโภคที่ใช้จ่ายเป็นส่วนมากในประเทศ แบรนด์จึงควรหันมาใส่ใจกลุ่มคนนี้เหล่านี้ด้วย

⎯⎯⎯
🔸 Major Shift of Generation
👉 GenZ กลุ่มนี้มีค่านิยมที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ความสัมพันธ์ที่ไม่เน้นความยาวนาน นิยมเน้นการใช้ Text เชื่อมความสัมพันธ์ หรือซื้อของที่เลือกให้ความสำคัญกับ Aesthetic and Life Style มากขึ้น และไม่เชื่อใน Happily Ever After อีกต่อไป

หรือเมื่อกลุ่ม GenZ เริ่มเข้ามาในสังคมการทำงาน กลุ่มนี้จะมีความคาดหวังในการขึ้นเงินเดือน และได้รับ recognition ในที่ทำงาน ดังนั้นองค์กรเองก็ต้องปรับตัวให้ทัน สร้าง Culture และค่านิยมให้เหมาะสม

👉  Millennials กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ให้ค่าระหว่าง Quality vs. Value สูงมาก ไม่ได้นิยม Fast Fashion ดังนั้นถ้าจะ Target คนกลุ่มนี้ก็ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องของความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพสินค้าและคุณค่าที่ได้รับ

👉 Gen Alpha คนกล่มนี้นั้นเริ่มเป็น Influencer ในครอบครัว เพราะพ่อแม่จะมองว่าเด็ก ๆ ถือเป็น Technical Ninja เกิดมาพร้อมกับโลกออนไลน์ เสพข้อมูลจากโลกอินเทอร์เน็ต ทำให้พ่อแม่เริ่มเชื่อลูก ๆ ในกลุ่มนี้มากขึ้น แต่นอกจากภายในครอบครัวแล้ว กลุ่มนี้ยังขยายการเป็น Influencer ไปสู่สังคมด้วย

👉 Silver Generation คนในกลุ่มนี้จะเริ่มให้คำนิยามของคำว่า ‘เกษียณ’ เปลี่ยนไป เริ่มให้ค่ากับคำว่า Health and Longevity Enjoyment มากขึ้นและที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ดังนั้นแบรนด์ต่าง ๆ ก็ไม่ควรจะมองข้ามคนในกลุ่มนี้
⎯⎯⎯
❓แล้ว Branding ใน Generations นี้เปลี่ยนไปอย่างไร

ตอนนี้ตลาดได้เปลี่ยนโครงสร้าง Culture จาก Mass เป็น Fragment คือเริ่มมี Subculture เกิด microcommunity ดังนั้นการทำการตลาดต้องเปลี่ยนจาก Insight-Driven เป็น Cultural-Brand

🔸 ตัวอย่าง Brand ที่ปรับตัวเรื่องนี้ได้ดีคือ McDonald และ JBL

ในปี 2020 McDonald ยอดขายตก เริ่มไม่มี Cultural Conversation กับลูกค้า เลยจำเป็นจะต้องเริ่มสร้าง Culture ที่ Localized มากขึ้นให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ โดยการ Connent กับ Sub-culture ต่าง ๆ ทั้ง K-Pop, มังงะ, Rapper รวมถึงการเล่นกับ Society Trends อื่น ๆ ด้วย และการปรับตัวครั้งนี้ส่งผลทั้งในแง่ของยอดขายและภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นของแบรนด์

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ JBL ที่แม้จะเป็นแบรนด์ที่เกิดมายาวนานกว่า 70 ปี แต่พอเริ่มร่วมงานกับ Doja Cat ก็เริ่มเป็นกระแส โดยเฉพาะเมื่อ Doja Cat ตั้งชื่อเล่นให้กับแบรนด์ว่า Jibble ทาง JBL เองก็นำชื่อนี้มาต่อยอดในการทำแคมเปญต่าง ๆ ส่งผลให้ GenZ เริ่มหันเข้ามาสนใจแบรนด์ JBL และเป็น viral content ในที่สุด

📍 นอกจากนี้ตัวเลขจากทาง Youtube ยังเผยว่า ปัจจุบันคนให้ความสนใจ Content ในด้านอื่น ๆ มากขึ้น รวมถึงช่องต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมกับกลายเป็นช่องของ Individual แทนช่องของสื่อใหญ่ ๆ
⎯⎯⎯
❓อะไรคือความท้าทายของแบรนด์แต่ละ Stage

1️⃣ แบรนด์ใหญ่เก่าแก่ อยู่มานาน เป็นผู้นำ : แบรนด์กลุ่มนี้ต้องเริ่มถามตัวเองว่าตอนนี้จริง ๆ แล้ว แบรนด์เราเป็น ‘ทรัพย์สิน หรือ หนี้สิน’ ถ้าหากเป็นหนี้สินก็จำเป็นจะต้องปรับลุคให้เหมาะกับคนรุ่นใหม่ หรือต้อง Rebrand ไม่ใช่ Debrand ลืมเอกลักษณ์ของตัวเองไป เพราะนั่นจะเป็นการส่งผลเสียต่อแบรนด์มากกว่า

2️⃣ แบรนด์ผู้ท้าชิง เริ่มครองส่วนแบ่งการตลาด : ต้องสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง สร้างฐานลูกค้า ซึ่งกลุ่มนี้มีความสำคัญมากในกลุ่ม Non-Essential Category อย่างสินค้ากลุ่ม Beauty เอง ผู้บริโภคเริ่มก็เลือกสินค้าหลากหลายตามกลุ่ม Generation

3️⃣ แบรนด์หน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง : สิ่งที่ต้องระวังคือยอดขายระยะสั้น และต้องใส่ใจกับการวาง Positioning ในตลาดทั้งคุณภาพ ราคา และ Value เพื่อให้ผู้บริโภครู้ว่าแบรนด์คือใคร และแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร รวมทั้งต้องมีตัวตนในทุกช่องทาง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและหาสินค้าได้ง่ายในเวลาที่ต้องการ

ดังนั้นทุกแบรนด์จึงควรวาง Marketing Fundamental ที่แข็งแรง ซึ่งก็คือเรื่องของ Branding นั่นเอง

⎯⎯⎯

❓แล้วทำไมต้องวัด Value ของ Brand ด้วย Brand Equity

Brand Equity นั้นวัดทั้งในส่วนของคุณค่าที่ลูกค้าได้และคุณค่าที่ส่งผลกลับมาต่อองค์กร ผ่านการวัดค่าต่าง ๆ ในระยะยาว โดย Brand Equity ที่เป็นที่นิยมมี 2 models ด้วยกันคือ
FRMU และ Keller’s Framework แต่ในที่นี้จะเน้น Keller’s Framework เป็นหลักซึ่งจะมองใน 3 แง่มุมเลย คือ Consumer, Brand Buzz และ Financial

และเพราะการใช้จ่ายเงินแต่ละบาทมันยากกว่าเดิมมาก สิ่งที่ผู้บริโภคใส่ใจจะกลายเป็น Arts of Spending เลือกที่จะใช้จ่ายมากขึ้น นั่นทำให้แบรนด์ต้อง Leverage Marketing Value ให้มีมูลค่าสูงสุด คือแต่เดิมที่โฟกัสสีสันการตลาด ต้องกลับมาโฟกัสผลที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงการจากการตลาด

ดังนั้นแบรนด์ต้องเข้าใจ Customer Insights อะไรทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้า และ Insights ต้องไม่จบอยู่แค่ทีม Marketing แต่ต้องมีประโยชน์กับทุก ๆ Function ในองค์กร เพื่อให้สามารถ Develop Actionable Strategies หรือพัฒนาแผนภาพใหญ่ในองค์กรได้ดีขึ้น คือต้องสร้าง Seamless Integration ภายในได้ ผ่านทุกส่วนในองค์กร และถ้าหากทำแบบนี้ได้แบรนด์ก็จะมี Competitive Advantages และชนะตลาดได้
⎯⎯⎯
🔴🔴 How Can We Address to These Changes

🔸 Don’t jump into creativity start with why
แทนที่จะเน้นแต่ความคิดสร้างสรรค์ ต้องกลับมาให้ความใส่ใจกับการ ถามคำถามที่ฉลาด โดยใช้ Strategic Framework คือถามว่า เรารู้อะไรบ้าง เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดคืออะไร แล้วจะต้องทำอย่างไร จากนั้นตีความต่อว่าอะไรคือสิ่งที่คนไม่ได้พูดออกมา เพื่อให้สามารถเข้าใจลูกค้าและตลาดได้อย่างลึกซึ่งขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิด Culture แบบนี้คือ ‘การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการถามคำถาม’

🔸 Don’t Start with Tactic, Start with Strategy
อย่าเอาแต่การตลาดที่ฉาบฉวย คิดว่าจะทำอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ต้องเริ่มจากข้อมูลที่ได้จากลูกค้า และต้องฟังทั้ง Aspiration ความต้องการคืออะไร และ Reality ว่าแล้วตอนลูกค้าใช้สินค้าหรือซื้อสินค้าจริงนั้นมี Feedback อย่างไร เพื่อให้สามารถองค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้สูงสุด

🔸 Success in New Marketing Principles : 5P

1️⃣ Prioritize เน้นเลือกทำในสิ่งที่มี High Impact
2️⃣ Privacy ใส่ใจกับความปลอดภัยของข้อมูล
3️⃣ Partner ในยุคนี้เก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องหาคนช่วย Execute การมีคู่ค้าคู่คิดที่ดีจึงสำคัญ
4️⃣ Performance การตลาดจะต้องวัดผลได้ Integrate กับเป้าหมายองค์กน
5️⃣ Proactivity เพื่อ Maintain ความเป็นผู้นำในตลาดอยู่เสมอ

🔸 Memory Attention
ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างเหมือนกันไปหมด ทุกคน react กับสื่อแบบ neutral ทำให้ Memory Attention มีความสำคัญมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจนจำแบรนด์ได้นานมากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน 4 ข้อคือ
เห็นบ่อย ๆ, ลิงก์กับข้อมูลเดิม, สร้างสิ่งใหม่ที่ว้าว, เชื่อมโยงกับอารมณ์ในมิติที่ลึกกว่าเดิม

🔸 Customer Journey ไม่ใช่ Linear แต่เป็น Fluid แบรนด์เลยจำเป็นต้องอยู่ใน LOOP ของผู้บริโภคให้ได้ คือ Lead, Orchestrate พาลูกค้าไปซื้อสินค้าเราให้ได้, Optimize ทำให้การซื้อง่าย บริการหลังการขายดีที่สุด และ Provide พาเข้า community เพื่อให้ลูกค้าอยู่กับเราไปนาน ๆ

🔸 Social Spending แซงหน้า Search
แต่ละ Channel มี Culture และวิธีที่ผู้บริโภคเสพสื่อนั้นไม่ได้เหมือนกัน เราจึงไม่สามารถเอาหนึ่งชิ้นงานไปลงทุกช่องทางได้

🔸 Creator ไม่ได้รับเงินจาก Platform เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถรับเงินจากลูกค้าได้ด้วย แบรนด์เองก็ไม่ควรจะวัด Impact เพียงแค่ยอด Affiliate เท่านั้น แต่ต้องมองถึงการที่ Creator ช่วยสร้าง Flavor Ability และการสร้าง Brand Equity ด้วย
.
🔸 Make Real Impact
ในยุคที่ Content ล้นหลามและเหมือนกันไปหมด เราต้องใช้ 80:20 Rules คือ Effort 20% จะสร้าง Impact 80% ให้กับแบรนด์ คือการเอาข้อมูลมาดูว่า Content แบบไหนที่จะมี Performane เพื่อให้เราโฟกัสไปกับ High-Performing Content และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์

🔹โดยสรุปคือเราต้องตั้งต้นจาก Strategy หา High-Performing Content ผ่านการใช้ Data และสร้าง Incremental Share of Voices
⎯⎯⎯

🔴🔴How Can We Accelerate Growth & Successfully Transform

🔸AI & Agentic Future
Burger King ใช้ AI ให้ผู้บริโภคลองเล่นว่าเบอร์กอร์จะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง หรือ HungerStation เอา AI มาจับสายตาเพื่อให้รู้ว่าผู้บริโภคเลือกอะไร เช่นเดียวกับแบรนด์อื่น ๆ ที่เริ่มเอา AI มาสร้าง Content หลาย ๆ แบบ หรือมาช่วยในการ Research ความต้องการของลูกค้า

แต่นอกจากการใช้ AI ช่วยงานแล้ว ประโยชน์อีกอย่างคือการได้ข้อมูลจากลูกค้าที่ครอบคลุมมากขึ้น และสิ่งนี้ทำให้เกิด Innovation ได้มากขึ้นในทุก ๆ ฝ่ายในองค์กร

และในยุคนี้เองยังมี AI Agents หรือ Agentic AI ที่ทำงานแบบเชื่อมโยง คิดเผื่อมนุษย์ และผูกกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องให้อัตโนมัติ เช่น เราป้อนโจทย์ไป AI จะหา Insight สร้าง Strategy แนะนำ Content ได้แบบครบลูป ดังนั้นเราต้องเริ่มเปลี่ยนจากการคิด One-shot กลายเป็นคิดแบบทั้ง Flow แทน แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างงานจาก AI ก็ต้องระวังเรื่องของความน่าเชื่อถือในตัวผู้บริโภคด้วยเช่นกัน

🔸 Experiment + Intelligent Risk – Taking
คือเราต้องทำ Thought Experiment ผ่านการ Activate System Design เช่น ตั้งสมมติฐาน หา key insight แล้ว experiment เพื่อลดความเสี่ยง จากนั้นเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็ต้องทำการ validate แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องระวังอย่าให้ Data มา Limit Creativity ต้องกล้าที่จะใส่ กล้าที่จะลอง

🔸 North Star Metrics & Meaningful KPIs
คือต้องเลือก Metrics ที่ใช้เพื่อไปหาเป้าหมายเดียวกัน ลอง Marketing Mixed Model เพื่อให้เราสามารถมองภาพใหญ่ เห็น Performance ที่แท้จริง

🔸 Regeneration & Balanced Economy
แม้คนจะรู้ว่า Sustain สำคัญ แต่อุปสรรคใหญ่ยังเป็นเรื่องของราคา เราจึงต้องหาจุดที่พอดีว่า จุดไหนที่จะพอดีให้ลูกค้ายอมจ่าย และต้องคิดให้ครบทั้ง System หรือทำให้เกิด Regeneration อย่างแท้จริง
⎯⎯⎯
และนี่ก็คือทั้งหมดที่คุณเอิร์ธ อรรถวุฒิ เอามาฝากเพื่อให้องค์กรสามารถสร้างแบรนด์ที่แตกต่าง แต่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน


อยากทำ Marketing ให้ชนะคู่แข่งปี 2025 นี่คือทักษะที่ ‘ผู้บริหารยุคใหม่’ ต้องรู้
วางกลยุทธ์การตลาดแบบวัดผลได้ ให้ธุรกิจคุณใช้งบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔥
👉 คลิกเลย

#Skooldio #TheSecretSauceSummit2024 #TheSecretSauce
#Marketing #GenZ #Trends #Trends2025 #Branding
#การตลาด #adapterdigital

More in:Business

Comments are closed.