สึสดีค่าาาา ~ ปลุก ‘ไฟเนิร์ด’ ชาวช่อง แกะสูตรปั้น Community ให้มีคนรัก และทำเงินได้ฉบับ FAROSE
Table of Contents
Community Builder
เวลาพูดถึงคำว่า ‘ครีเอเตอร์’ ก็จะคิดว่าเราเป็นคนสร้างคอนเทนต์ แต่สำหรับคุณฟาโรส คือ ‘Community Builder’ ?
จริง ๆ คุณฟาโรสไม่ได้ตั้งใจจะทำสิ่งนี้ แต่คำ ๆ นี้มีคนอื่นมอบให้ ซึ่งคุณฟาโรสก็รู้สึกตกใจ แต่ก็รู้สึกขอบคุณและเป็นเกียรติ
ตัวคุณฟาโรสไม่ได้เป็นคนที่ตั้งเป้าไว้ขนาดนั้น จะเป็นคนลักษณะแบบทำไปก่อน แล้วถอยกลับมาเช็คงานตัวเอง
คุณฟาโรสยกเหตุการณ์ที่ทาง Youtube จัดงานและเชิญคุณฟาโรสไปในฐานะ ‘community builder’ ตอนแรกคุณฟาโรสก็นึกว่าจะมี Youtuber หลาย ๆ ท่าน ไป แต่ปรากฏว่ามีคุณฟาโรสอยู่คนเดียว เพราะลูกค้ามองว่านี่เป็นเคสที่เขาอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า Social Platform อย่าง Youtube ก็สามารถพาคนมารวมกัน และจัดงาน onsite ได้ ไม่ใช่แค่ทำวิดีโอลงในแพลตฟอร์มอย่างเดียว อยากให้คุณฟาโรสเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้คนอื่นว่าก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
คุณฟาโรสเริ่มจากการเล่าเรื่องการทำงานให้ฟังก่อน โดยใช้คำว่าส่วนมากมันเกิดจากการ ‘ซุย’ ทำไปก่อน แล้วถอยกลับมาเช็คเรื่อย ๆ พอเราเห็น pattern บางอย่างว่าเวิร์ก ทำได้ เราก็เอาสิ่งนั้นไปพัฒนาเพิ่ม
คุณฟาโรสเห็นด้วยว่าเราไม่ต้องพร้อม 100% ก็ทำได้เลย มีบางอย่างที่เราจะต้องลงมือทำ กล้าทำไปก่อน โดยที่ถ้ามีค่าเสียหาย ค่าเสียหายนั้นก็อาจไม่เจ็บมาก พอทำปุ๊ปได้อะไร เราค่อยไปเช็คว่าเราเอาไปพัฒนางานอื่นได้อีกไหม
การสร้าง Community ไม่ใช่แค่ตั้งชื่อ แล้วจบ
Community = Audiences ที่อยู่ในคลิปของเรานี่แหละ แต่มันเป็นมากกว่านั้น มันไม่ใช่แค่การตั้งชื่อ ให้ชื่อเรียกว่า ชาวช่องแล้วจบ แต่มันคือชื่อที่พอเรียกแล้วรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว และมากกว่านั้นมันคือพื้นที่ที่คนรู้สึกถึง sense of belonging ว่านี่แหละคือที่ของฉัน และคนแบบเดียว ๆ กัน
เวลาคนดูรายการเรา มาคอมเมนต์ มี engagement มันเอามาประมวลได้หมด ว่าเขาเป็นใคร เราสามารถถอดออกมาเป็น persona ได้เลย
ทาง YouTube จะมีแอป YouTube Studio ที่ให้ครีเอเตอร์เข้ามาดูข้อมูลหลังบ้านได้ คุณฟาโรสได้โชว์ stat ทั้งหมดตั้งแต่เปิดช่องมา ในส่วนของอายุ สำหรับช่องหลัก ช่วงอายุที่สูงสุดคือกลุ่ม 25 – 34 ปี / ตามด้วยกลุ่มนักศึกษา และพอไปเปิดดูของช่อง Podcast ก็เป็นคนกลุ่มเดิม ทำให้มันเริ่มง่ายในการจะดูว่าเรากำลังพูดกับใครอยู่
แต่พอมาดูข้อมูลเป็นเรื่องเพศ ถ้าเป็นช่องหลักที่จะเป็นงาน Vlog สนุก ดูเพลิน ก็จะมีสัดส่วนผู้หญิงมากถึง 62% แต่พอเป็นพอดแคสต์เมื่อเทียบกับสัดส่วนในช่องเดียวกันจะเห็นชัดว่าสัดส่วนเพศชายจะเขยิบเข้ามาใกล้กันมากขึ้นกับสัดส่วนเพศหญิง
แปลว่าการตัดสินใจแยกช่องมาเป็น podcast ถูกแล้ว เพราะถ้าเราไม่แยกแปลว่ามีบางอย่างไม่ตรงตามความคาดหวังของผู้ชม เพราะใน community นึงมันสามารถมีพื้นที่ มีห้องย่อยได้อีก เหมือนที่ในหมู่บ้านมีหลาย ๆ ส่วน
วิธีสร้าง Community ของตัวเอง
- ดู stat ซึ่งหลังบ้าน YouTube ดูได้ค่อนข้างละเอียด เราก็จะพอจับได้ว่าโอเคนี่คือตัวเลขว่าเรามีคนอยู่เท่านี้ เขาน่าจะเป็นคนกลุ่มไหน ทำไมถึงชอบ แต่ stat แม้จะจับต้องได้มันก็แห้ง มันไม่มากพอที่จะกำหนด persona ได้ มันทำให้เราเห็นภาพรวม แต่อีกอย่างที่ต้องดูคือ..
- comment / engagement อ่านให้ละเอียด ๆ เพราะมันทำให้เราเอามาประกอบกันและเห็นว่าตัวคนที่เราอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงชัดขึ้น
เหมือนกับ research method ที่เอามาประกอบกันเชิงปริมาณ คุณภาพ แต่ให้เราทำไปเรื่อย ๆ คุณฟาโรสชอบอ่านคอมเมนต์แล้วคิดตามดูว่าเขาคือใครในชีวิตจริง เขาจะพูดเรื่องอะไร เหมือนเพื่อนเราคนไหน แล้วตั้งคำถามดูว่าถ้าสมมติเป็น 5 คนนี้แล้วเราทำอีเวนต์จะเป็นยังไง
อย่างทำไมคนอายุเท่านี้ ๆ ถึงชอบฟังพอดแคสต์ อาจเป็นเพราะเราจบจากมหา’ลัยมาระยะนึงแล้วแล้วคิดถึงการเรียน แต่ก็ไม่อยากกลับไปเรียน เครียด นั่งสอบ ก็ถือว่าตอบโจทย์ ทำให้มันเป็นความรู้สึกที่ดีในการฟัง เลยจัดงานทอล์ค FaraTalk ขึ้นมา ซึ่งก็เกิดจากการคาดไว้ก่อน แต่พอไปจัดงานจริงก็ได้รับผลลัพธ์ที่มากกว่านั้นมาก ๆ
แล้วสำหรับครีเอเตอร์ที่ยังไม่แข็งแรง แต่อยากสร้าง Community บ้างทำยังไงดี?
สำหรับคนที่อยากพัฒนา community อย่างแรกคือ ต้องหาก่อนว่าตัวตน uniqueness ของเราคืออะไร
เราไม่สามารถทำคอนเทนต์เสิร์ฟคนดูในทุกเรื่องได้ เวลาคนทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ ก็มักจะพูดว่าอยากรู้อะไรอีกคอมเมนต์ได้เลย ซึ่งมันก็เป็นวิธีการนึง แต่สำหรับคุณฟาโรสไม่กล้าทำ เพราะมันจะมีวันนึงที่เราเสิร์ฟไม่ได้ เราเสิร์ฟแบบที่เขาอยากได้ไม่ได้ในทุกวัน แล้วเขาจะผิดหวัง และไปจากเราในวันหนึ่ง
คุณต้องเสิร์ฟสิ่งที่คุณอยากจะเล่า compromise สิ่งที่คนดูต้องการกับสิ่งที่เป็นตัวเรา เราต้องมีแกนหลักของเรา แม้มันจะมีช่วงยากลำบากที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่มีใครดู แต่เราต้องข้ามไปให้ได้ เช่น เราชอบปลูกผักมาก คุณก็ต้องเชื่อว่ามันจะทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ แม้มันไม่มีคนดู แต่คนที่เขาอยู่กับคุณมันคือของจริง และของจริงนั้นวันนึงจะกลายมาเป็น community เราไม่จำเป็นต้องได้ล้านซับ เราโฟกัส และนำเสนอสิ่งที่เราทำได้ในระยะยาว
ปลุก ‘ไฟเนิร์ด’
เวลาเราดู stat การ define สู่ persona lifestyle ต่าง ๆ คุณฟาโรสเจอได้ยังไง? คุณฟาโรสก็คาดการณ์มาก่อน แต่พอไปเจอหน้างานก็พบเจอช่วงอายุที่กว้างมาก ได้เจอทั้งน้อง ๆ อายุสิบกว่า จนไปถึงอายุแปดสิบกว่า หลากหลาย segment หลายอาชีพมาก ๆ
แล้วอะไรคือสิ่งที่รวมคนเหล่านี้ ? แน่นอนมากกว่าอาชีพและอายุ มันน่าจะเป็น “ไฟเนิร์ด” ที่ทุกคนมีข้างใน แม้จะตื้นลึกไม่เหมือนกันแต่เรามี มีใจที่อยากจะรู้เรื่องนี้แต่อาจไม่มีใครไปปลุก
แล้วโชคดีที่คุณฟาโรสสามารถไปปลุกไฟเนิร์ดเขาได้ คนที่มีไฟเนิร์ดไม่จำเป็นต้องใส่แว่นหนาเตอะแบบภาพจำ เขาอาจเป็นคนไลฟ์สไตล์เปรี้ยวซ่าเซ็กซี่ได้หมด แต่ข้างในเขาคือคนที่อยากรู้อยากเรียน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คุณฟาโรสไม่ได้ได้ตั้งแต่วันแรก แต่ก็ใช้การสังเกต เรียนรู้
Persona มันควรจะเป็นของเรา ที่ไม่เหมือนช่องอื่น หรือคนอื่น
ตอนที่เริ่มทำ Youtube ใหม่ ๆ จะมีไกด์ไลน์ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ยอด subscriber สูง ๆ แต่คุณฟาโรสไม่เชื่อแบบนั้น และโดยส่วนตัวมีความเคอะเขินที่จะขอให้คนดูกด sucscribe ให้ตั้งแต่ต้นรายการ เลยคิดว่าเน้นทำไปก่อน ถ้าคนเขาชอบ เขาก็กดเองให้เองเพราะคุณฟาโรสรู้สึกว่าถ้าเราจะรักหรือติดตามอะไร มันต้องเกิดจากความรู้สึกชอบจริง ๆ ไม่ใช่ขอให้กดก็กด ๆ ไป ซึ่งเราก็อยากได้ subscriber ที่มาจากความอินในคอนเทนต์ของช่องจริง ๆ
คุณฟาโรสก็เคยมีพูดขอให้คนดูกดซับตั้งแต่ต้นคลิปก็เขินเหมือนกัน เลยกลับไปขอซับท้ายรายการแทน แต่การขอกดซับตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะปกติคนทั่วไปก็อาจจะดูวิดิโอไม่จบกว่าเขาจะมาเจอเราขอซับก็ท้ายรายการแล้ว
คุณฟาโรสเปรียบเทียบการขอให้คนดูกด subscribe เหมือนกับการไปเดท แล้วบอกคู่เดทว่า “รักฉันด้วยนะ” ซึ่งมันยากมากที่คนจะเห็นหน้าเราปุ๊ปแล้วบอกว่า “โอเค รักก็ได้” แต่เรารู้ว่าเรามีของข้างใน ไม่จำเป็นต้องบอกผู้ชายคนนี้ให้รักเราเดี๋ยวนี้ แต่ให้เราคุยกันไปก่อน แล้วให้เขารู้ว่าเรามีของดีข้างใน แล้วเขาก็จะชอบและถูกใจ
ดังนั้นยอด subscribe ที่เกิดขึ้นในช่อง FAROSE มันมีความหมายมาก ๆ แม้วันนี้ช่องคุณฟาโรสจะยังไม่ถึง 1 ล้าน subscribers และขยับช้ากว่าช่องอื่น ๆ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณฟาโรส แต่ก็อาจจะมีปัญหาบ้างในมุมตัวเลขหรือ marketing
แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวเลข แต่คือเรื่องของคุณภาพมากกว่า เพราะในการที่เรารู้จักพูดคุยกันกับ subscribers มันทำให้เราต่างจากคนอื่น และเกิดเป็น community แล้ววัดผลหน้างานเลยว่าคนจริง ๆ เขามาเพราะเขาอินจริง ๆ นี่คือประสบการณ์จริงของคุณฟาโรสในการจัด FaraTALK มา 3 ปี สิ่งทีเห็นตรงหน้าเวลาคนเขามาแล้วมีความสุขกับเรา มันมีค่ามากกว่ายอด subscriber ที่จะไปถึงเท่าไหร่
จาก Audiences คุณภาพ สู่ Business
ตอนที่เริ่มจัด FaraTALK ครั้งแรก คุณฟาโรสก็ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น แต่ก็อยากลอง แต่เผื่อใจไว้แล้วว่าถ้าไม่สำเร็จ ก็เจ็บไม่เยอะ เวลาลองของใหม่ให้ขีดเส้นไว้เลยว่าเจ็บหนักนี่คือแค่ไหน รับได้ไหม ถ้าโอเคก็ลุยต่อเต็มที่
ครั้งแรกที่เปิดขายบัตร ก็ปรากฏเว็บล่มแล้วหมด คุณฟาโรสก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนสนใจมากขนาดนี้ มีคนรอหน้าเว็บก่อนเปิดขายบัตรหลักหมื่น แปลว่าถ้าเราจัดอีกรอบมีโอกาสขายได้ ดังนั้นก็ประกาศขายเพิ่มแล้วขายหมดตามคาด หลังจากนั้นปีต่อ ๆ มาก็ค่อย ๆ ขยายเพิ่มเรื่อย ๆ ถ้าถามว่าจะรู้ว่าเราจะสำเร็จตอนไหน ก็ไม่มีจุดที่เรารู้หรอก แต่มันคือจุดที่เรากล้า ต้องกล้าไปก่อน นี่คือวิธีที่คุณฟาโรสใช้ แล้วค่อย ๆ คลำไปเรื่อย ๆ
ล่าสุดที่จัด Exibition ก็จัดเพราะอยากต่อยอดจากรายการ People You May Know ซึ่งก็มีความเสี่ยงมากกับการจะจัด มีความกังวลว่าคนจะมาไหม ส่วนทีมก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่จากที่คุณฟาโรสได้อ่านคอมเมนต์ ก็เชื่อมั่นว่าทุกคนจะมางาน
รวมทั้งคุณฟาโรสรู้ว่ามีกลุ่มคนที่ชอบรายการจากเนื้อหา และกลุ่มที่ติดตามมาจาก speaker ที่มาร่วมรายการ และได้ข้อมูลเพิ่มจากการมี exhibition เล็ก ๆ ใน FaraTALK ที่ให้มาแสดงความเห็น มีครั้งหนึ่งที่ยุบ session นี้ไป ก็มีคนมาฟีดแบคว่าทำไมไม่มีจัดอีก ซึ่งคุณฟาโรสบอกว่าดีมากที่มีคนมาคอมเมนต์แบบนี้ เพราะแปลว่ามีคนต้องการสิ่งนี้ เลยเห็นโอกาสในการต่อยอด เพื่อจัด exhibition ต่อ
ยิ่งจัดงาน ยิ่งเช็คไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเห็น persona ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ข้อดีของ community เหล่านี้ คือคนที่มี ‘ไฟเนิร์ด’ มี mutual interest เดียวกัน ทำให้เราไม่ต้องบิ้วท์เยอะ แค่เกณฑ์พวกเขามาอยู่ด้วยกัน พูดภาษาเดียวกัน แล้วมันจะเกิดการต่อยอดจากทางผู้ชมเอง เหมือน UGC อย่าง exhibition คุณฟาโรสก็ตกใจที่คนแน่นมาก ก่อนเปิดงานก็มีความกังวล แต่หนึ่งเดือนที่จัดไม่มีวันไหนที่ slot ว่างเลย ไม่ได้ทำการตลาดเลยด้วย แค่ประกาศครั้งเดียว เพราะมันคือ คนที่ถูกต้อง + พื้นที่ที่ใช่
ทำยังไงให้ลูกค้าสองแบรนด์ที่เป็นคู่แข่งกัน มาเป็นสปอนเซอร์ในงานเดียวกัน?
ในงาน FaraTALK ครั้งที่ผ่านมามีสปอนเซอร์อย่าง AP Thailand กับ SC Asset ในงานเดียวกัน คุณฟาโรสเล่าว่าตอนประกาศคนก็ตกใจ แต่ก็เกิดจากการพูดคุยกับทั้งสองทาง ทางแบรนด์บอกว่ายินดีที่จะมาสปอนเซอร์งานนี้ร่วมกัน เพราะเขามองว่าสิ่งสำคัญคือการที่ทางแบรนด์เป็นชาวช่องอยากซัพพอร์ต มันไม่ใช่พื้นที่ของการแข่งกันแต่มันคือการแสดงสปิริตว่าอยากสนับสนุนคอมมูนิตี้นี้ ซึ่งคนในคอมมูนิตี้นี้ก็รับรู้ และรับรู้ไปถึงสปิริตของแบรนด์ด้วย สิ่งที่ทั้งสองแบรนด์ได้กลับไปคือความรักเต็ม ๆ แบบไม่ต้องแบ่งกันด้วย
พอเราเริ่มรู้จักว่า persona คนที่อยู่กับเราคือใครเราจึงรู้ คุณฟาโรสเล่าว่า media literacy ของคนที่เป็นชาวช่องนั้นสูงมาก และนี่ไม่ใช่ยุคไทอินเนียน ๆ คนรู้อยู่แล้วว่าในการทำคลิปมีค่าใช้จ่าย สู้พูดไปเลยดีกว่าไหมว่าแบรนด์นี้เขามาสปอนเซอร์เรานะ นี่คือโฆษณา ก็บอกไปตรง ๆ
มองภาพให้เป็นโมเดลแบบสามเหลี่ยม ที่มีทั้ง creator / audience / sponsor คนสร้างเองก็สร้างงานที่ชอบ สปอนเซอร์สนับสนุนงาน คนดูเห็นคนมาสนับสนุนคนที่เขาชอบก็จะส่งความรักกลับไปที่สปอนเซอร์ วิน ๆ ทุกฝ่าย ดังนั้นเวลาที่คิดงานโมเดลนี้ต้องไปด้วย และถ้าในมุมลูกค้าเองถ้าไม่ฟังว่าพื้นที่นี้ทำงานยังไง มันก็อาจไม่เวิร์ก เตรียมใจเงินสูญเปล่ากลับไป
ต่อยอดสู่บทใหม่จากกลุ่ม Persona ที่รู้จักดี
เมื่อไม่กี่วันมานี้คุณฟาโรสได้ เปิดตัวสำนักพิมพ์ใหม่ มาจากคำที่ชาวช่องคุ้นเคยอย่าง ‘Abúbogo’ กลับมาทวงความจำว่าคนดูอยู่กับช่องมานาน และมันจะกลับมาเกิดเป็นสำนักพิมพ์ เพื่อต่อยอดการทำคอนเทนต์ในรูปแบบหนังสือ ซึ่งที่มาก็มาจาก persona คนดู ที่ถึงแม้หนังสือดูเป็นรูปแบบที่เก่า แต่ก็มีกลุ่มคนที่ชอบสิ่งเหล่านี้ และก็มีเรื่องในช่องที่ถ้าอยู่ในรูปแบบงานเขียนจะสนุกอีกแบบ เลยอยากที่จะเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ตรงนี้
หรือแบรนด์ lumi เอง ที่พอคุณฟาโรสทำงานกับลูกค้าบ่อย ๆ ก็เกิดเป็น production house ที่มีที่มาจากชื่อของสองพี่น้องลูมิแอร์ที่คิดค้นฟิลม์ถ่ายหนังได้คนแรก
ทีมคุณฟาโรสมีพนักงาน แค่ 21 คน แต่เป็นทีมที่เก่งมาก effective มาก แน่นอนว่าพอจับจุดได้แต่ละอย่าง ว่าอยากขยายเป็นอะไร ก็มีไอเดียเกิดขึ้นเยอะว่าอยากจะทำ แต่ใช้วิธีค่อย ๆ ให้มันแข็งแรงทีละอย่าง ค่อย ๆ ขยับขยาย จะมีหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นในครั้งเดียวไม่ได้
คนเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ อนาคตทำได้อีกเยอะแต่จังหวะต้องดูดี ๆ ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง ซึ่งคุณฟาโรสมองว่าเป็นโชคดี ที่ไม่ว่าจะทำอะไรมีคนซัพพอร์ตเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชาวช่อง ลูกค้า สปอนเซอร์
สิ่งที่ฝากถึงตัวเองและผู้ประกอบการ
ในวันนี้คุณฟาโรสเองก็มีหมวกของการเป็นผู้ประกอบการด้วย ถ้ามีสิ่งที่จะฝากถึงตัวเองและผู้ประกอบการคนอื่น ๆ ด้วย สิ่งนั้นคืออะไร?
คุณฟาโรสไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้จะเหมาะกับทุกคนไหม แต่จากประสบการณ์ของคุณฟาโรสคือ ต้อง ‘ใจเย็น’ ในภาวะที่คนแข่งกัน เราอาจจะหลงไปกับการรีบทำ ซึ่งใจเย็นนี้ก็ไม่ได้แปลว่าต้องช้า มันคือนิ่งดูให้ดีคิดรอบด้าน สิ่งที่ประเมินออกมาพอหน้างานเกิดขึ้นยังไงพยายามวัดผล ใช่ไม่ใช่ยังไงก็ปรับ pacing แต่ละคนมีวิธีการไม่เหมือนกัน ณ วันนี้ทุกคนแข่งวิ่งกันหมด ถ้าเราค่อย ๆ ร่ม ๆ เชื่อว่าของเรามีดีอะไร มันจะไปได้ไกลและไปได้นาน