ถอดวิชา Brand ลักชู สรุป 7 เรื่องจากผู้นำ LV Mindset – MKT – Ways of work
สรุปเซสชัน 7 THINGS WE LOVE ABOUT… ON STAGE กับ วัฒน์ศรี ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา แห่ง LOUIS VUITTON THAILAND & VIETNAM โดยคุณอู๋ – วัฒน์ศรี ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ Louis Vuitton ประเทศไทย และประเทศเวียดนาม ในงาน The Secret Sauce Summit 2025
Table of Contents
Passion In Fashion
จุดเริ่มต้นจริง ๆ ของคุณอู๋เริ่มขึ้นในสมัยเรียนม.ปลาย ในสมัยนั้นมีศูนย์การค้าชื่อดัง เดอะเพนนินซูล่า พลาซ่า (The Peninsula Plaza) ซึ่งก็มีร้าน LOUIS VUITTON อยู่ด้วย คุณอู๋อยากจะได้กระเป๋าสตางค์ ทำให้ตอนนั้นตั้งใจเรียนตั้งใจเก็บเงินมาก จนซื้อได้ในที่สุด ซึ่งในตอนนั้นคุณอู๋ก็ไม่เคยรู้ตัวว่าวันนี้จะได้ทำงานที่ LOUIS VUITTON และพี่ SA ที่คุณอู๋ไปซื้อด้วยตอนนั้นก็ยังคงทำงานที่ LOUIS VUITTON ด้วย เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหมือน full circle moment
Background ของคุณอู๋เริ่มมาจากทำงานในวงการเครื่องสำอางค์ แต่ในปี 2011คุณอู๋ก็ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์คนจาก Channel และจากการสัมภาษณ์ในครั้งนั้น ก็ทำให้คุณอู๋รู้สึกว่าวงการนี้น่าจะเหมาะกับเรานะ สิ่งที่คุณอู๋ได้จากการสัมภาษณ์ คือการได้เรียนรู้ว่าถ้าเราจะทำงานในจุดนี้ก็ต้องมี ‘ความรู้รอบด้าน’ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่คุณอู๋ชอบด้วย เพราะแฟชั่นมันเกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง
Being a Boss lady
ตัดสินใจยังไงมารับตำแหน่งนี้? คุณอู๋ตอบว่าเกิดจากการสัมภาษณ์เช่นเดียวกัน ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจเปลี่ยนงานเพราะเป็นช่วงโควิด แต่พอดีได้คุยกับทาง LOUIS VUITTON คุณไมเคิล เบิร์ก ซึ่งตอนนั้นเขาก็ได้พูดขึ้นมาว่า ตอนนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สำหรับในระดับประเทศจากเดิมเขาจะเอาคนฝรั่งเศสมาคุมเท่านั้น แต่ตอนนี้ถ้าเขาเจอ Talent ที่ใช่ ก็จะให้คน Local มาดูแล เพราะเข้าใจลูกค้าและตลาดดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะมีวิสัยทัศน์แบบนี้ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่เขาเชื่อในตัวคุณอู๋ แต่เชื่อในประเทศเราด้วย ก็เลยตัดสินใจรับเลย
ถ้าถามว่าตำแหน่ง Managing Director ทำหน้าที่อะไร? คุณอู๋บอกว่าหน้าที่จริงคือ ทำยังไงก็ได้ให้ทีมเดินไปในทิศทางเดียวกัน ไปด้วยกันได้ และสำคัญสุดคือเรื่อง People
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องมีเลยก็คือต้องมี ‘ความเคารพ’ กับประเทศต่าง ๆ ที่เราไป เช่น เทศกาลไหว้พระจันทร์ คนไทยเราชอบกินขนมไว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัว ทุเรียน แต่คนเวียดนามทานเป็นไส้เค็ม แต่ละประเทศที่ความชอบแตกต่างกันไป ประเด็นอยู่ที่จะทำยังไงให้ความชอบนั้นมันอยู่ตรงกับสิ่งที่องค์กรต้องการ กับมาตรฐานที่เราอยากมอบให้ลูกค้า และจากการดูแลทีมมาเกือบ 5 ปี ก็ทำให้คุณอู๋ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก อย่างเช่นตลาดที่โฮจิมินห์ ฮานอย ลูกค้าก็คนละแบบต้องปรับตัวเข้าไปเหมือนกัน หรืออย่างในประเทศไทยเองลูกค้าที่กรุงเทพ หรือ ในสุวรรณภูมิเองก็ต่างกัน
More Than Fashion, It’s Culture
Culture อยู่กับ LOUIS VUITTON ตั้งแต่ต้นกำเนิดที่ผลิต ‘Trunk’ เป็นแบรนด์แห่งการเดินทาง เพราะการเดินทางก้าวผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ก็ทำให้เราได้พบปะคนได้เรื่องราวมากขึ้น ซึ่ง CEO คนปัจจุบันของ LOUIS VUITTON ก็เป็นคนเอาเรื่องราวเชิงวัฒนธรรมของ LOUIS VUITTON มาตีแผ่มากขึ้น ทั้งหนังสือไกด์บุ๊ค / F1 / Cultural Hub ต่าง ๆ อย่าง คาเฟ่ ร้านอาหาร
ในไทยเองก็มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น หลังโควิดที่ตอนนั้นคนก็ยังมีความกลัวอยู่ แต่เราก็โหยหาการพบปะกัน เลยมีการจัดงานใหญ่งานแรกหลังโควิด เชิญคน 1,000 คนมา มีลูกค้าจากทั่วเอเชียมางานนี้ เป็นหนึ่งในงานที่ทำให้คนเห็นภาพลักษณ์แบรนด์ LOUIS VUITTON
‘LOUIS VUITTON is collaboration king’ อีกหนึ่งตัวอย่างคือ การ Collab กับคุณ Yayoi Kusama ที่จัดกิจกรรมให้คนไทยได้เข้าใจและเห็นแบรนด์ LOUIS VUITTON ในมุมมองอื่น ๆ โดยจัด Art Installation ของ ‘Dancing Pumpkin’ ที่ลานพารากอน ซึ่งแบรนด์ไม่ได้มีขายของตรงนั้น แต่เป็นการที่ทำให้คนได้เห็นและรู้จักแบรนด์ LOUIS VUITTON มากขึ้น แบรนด์ได้ engage กับลูกค้าโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเดินมาที่ร้านเรา
อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่คุณอู๋เรียกว่า ‘โปรเจกต์แห่งชาติ’ คือ LV The Place เป็น Concept Store ที่มีทั้งนิทรรศการที่เข้าได้ฟรี มีคาเฟ่ ร้านอาหาร ซึ่งโปรเจกต์นี้จะเปิดที่ไหนในโลกก็เปิดได้ แต่ทำไมเขาเลือกมาเปิดที่ไทย? แล้วเป็นที่แรกในโลกด้วย นั่นก็เป็นเพราะไทยเรามีศักยภาพ ผลงานที่ทีมไทยทำมาอย่างต่อเนื่องก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าประเทศเรามีศักยภาพ
The LV Mindset
ที่ LOUIS VUITTON ทุกคนมี mindset แบบ Audacity คือการกล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด และ Entrepreneur Spirit รู้ว่ารับผิดชอบอะไร พร้อมที่จะทำ
แต่ Mindset ที่ประเทศไทยมีมากกว่านั้นก็มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเป็นทีมนักสู้ Fighting Spirit / การทำงานอย่าง Creative ร่วมกัน ทำงานแบบเป็น Long Term สามารถสร้าง Target กันได้หลายปี / หรือความสนุกสนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมไทยมีค่อนข้างชัดเจน
แล้วคุณอู๋เอาความสนุกมาจากไหน?
สิ่งที่คุณอู๋ให้ความสำคัญ คือการดูแลทีมด้วยการ ‘Empower’ เพราะเชื่อว่า การที่จะทำให้ทีมสำเร็จเริ่มจากการให้พื้นที่ในการลองผิดลองถูก Guide ในสิ่งที่เขาเชื่อมั่น แต่อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือ ทีมที่เราจะไป Empower เขาก็ต้องกล้ารับความรับผิดชอบเหมือนกันว่าจะทำให้ดีที่สุด เกิดข้อผิดพลาดก็พร้อมแก้ไข
คุณอู๋ยังเสริมว่า ตัวเองไม่ชอบให้คนเห็นด้วย ไม่ได้ต้องการ Yes Man เพราะเชื่อว่า คนในทีมจะได้เรียนรู้เมื่อคิดต่าง ไม่มีอะไรไม่ดี มันอยู่ที่ว่าสุดท้ายเราจะเลือกเดินไปทางไหน
หนึ่งอย่างที่คุณอู๋อยากฝากให้ผู้ประกอบการ เวลาจ้างทีมงานหรือหาคน คือ เรามักจะเลือกจาก Bias เช่น เราชอบคนนี้ เพราะมีอะไร คิดอะไรเหมือน ๆ กัน แต่เราไม่ควรทำแบบนั้น เราควรดูว่าสิ่งที่ทีมเราขาดคืออะไร แล้วรับคนมาเติมเต็มในส่วนนั้น จะได้สร้างความแตกต่างในทีมเรา
Fashion Industry Perspective in 2025
คุณอู๋มองว่า 2025 เป็นปีที่ยากมากสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น เรียกว่าถอนหายใจทั้งปี แน่นอนว่ามีหลายเหตุผลที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ แต่เหตุผลนึงคือ เราขาดนักท่องเที่ยวในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤตมันมีโอกาส
พฤติกรรมคนซื้อสินค้า Luxury มองหาอะไรต่างไปจากเดิม?
What’s Next in Fashion Luxury
คุณอู๋เชื่อว่า ทุกวิกฤตมีโอกาส วงการแฟชั่นอาจจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก อาจจะประคองตัวไปในสิ่งที่เราทำอยู่ แต่การเปลี่ยนเก้าอี้ดีไซเนอร์ก็มีผล อย่างไรก็ตามในอุตสาหกรรมนี้ยังมีพื้นที่และช่องทางให้เล่นอีกมาก เช่น การขาย Online จะสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ายังไง ซึ่งการเก็บ Data ทั้งหมดเกี่ยวกับลูกค้าจะเข้ามาช่วยในการคิดวิเคราะห์ และทำงานต่อไป
นอกจาก Data คุณอู๋อยากให้เราโฟกัสอะไร ?