สรุปเซสชัน NEW WAVE T-BEAUTY: AGAINST GIANTS, WITH GLOW T-BEAUTY รุ่นใหม่ ทำอย่างไรให้โดนลูกค้าชูส
โดยคุณไอติม – เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์ ประธานบริษัท บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด La glace Thailand / คุณไอซ์ – ภาวิดา ชิตเดชะ Content Creator and Founder of HAPPY SUNDAY HAPPY SUNDAY / คุณทราย – ชนิกานต์ วัลลภศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สวยฉลาดตลก จำกัด BWB.store ในงาน The Secret Sauce Summit 2025
Table of Contents
- อุตสาหกรรมความงามในไทยกำลังเปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้นำเทรนด์
- อะไรคือความท้าทายและโอกาสที่ทำให้เกิดธุรกิจของแต่ละคนขึ้นมา?
- แต่ละแบรนด์มีกลยุทธ์การตลาดยังไงบ้าง ?
- แล้วตอนนี้ตลาด T- Beauty วัดกันที่อะไร ?
- ถ้าต้องออกสินค้าปีหน้าอะไร แต่ละแบรนด์จะออกอะไรมา ?
- เป้าหมายของแต่ละแบรนด์ในอีก 3 ปีคืออะไร ?
- แบรนด์ไทยจะสู้ต่างชาติได้ไหม ?
- อะไรคือสิ่งที่แบรนด์รุ่นใหม่มองเห็นแต่รุ่นเก่ามองไม่เห็น ?
อุตสาหกรรมความงามในไทยกำลังเปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้นำเทรนด์
อุตสาหกรรม T-Beauty แข่งขันดุเดือดมาก แต่ละคนเห็นโอกาสอะไรในการทำแบรนด์ ?
คุณไอซ์จากแบรนด์ HAPPY SUNDAY บอกว่า ตอนนี้เป็นยุคทองของ T-Beauty ย้อนไปแต่ก่อน เราตามหลัง K-Beauty และผลิตสินค้าเองไม่ได้ แต่ด้วยการผลิตที่ดีขึ้น และการที่คนไทยใช้สินค้าไทยด้วยกันมากขึ้น ทำให้เราไม่ใช่ผู้ตามอีกต่อไป และเราไม่ทำตามเทรนด์ต่างประเทศมากเท่าแต่ก่อน อย่างเกาหลีจะทำอะไร เราก็ไม่ได้ตามเขามากแล้ว
ด้านคุณทรายจากแบรนด์ Bitch With Brain เสริมจากคุณไอซ์ว่า ผู้บริโภคไทยสนใจสินค้าไทย และเครื่องสำอางเองไทยก็ได้รับความเชื่อมั่นจากคนไทยมากขึ้นเห็น
- ลูกค้าต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เขาต้องการอะไรที่ตอบโจทย์ความเป็นตัวเขาเอง ไม่สนใจ Beauty Standard เท่าแต่ก่อนแล้ว
- ลูกค้าต้องการความชัดเจนในแง่ของผลลัพธ์ และแง่ของแบรนด์ที่ชัดเจนโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
- ลูกค้าต้องการสินค้าที่ใช้แล้วดีต่อใจ
คุณไอติมจากแบรนด์ LA GLACE ย้ำเหมือนกันว่า ตอนนี้เป็นยุคทองของ T-Beauty คนไทยภูมิใจในการใช้ของไทย กล้าบอกว่าตัวเองใช้ของไทย ไม่ได้มองแค่ฉลากมาจากเกาหลี ญี่ปุ่นแล้ว ตัว LA GLACE เองก็อยากทำอะไรที่ซัพพอร์ตลูกค้าในเรื่องนี้ยิ่งมากขึ้น
อะไรคือความท้าทายและโอกาสที่ทำให้เกิดธุรกิจของแต่ละคนขึ้นมา?
LA GLACE ฉีก Standard ความสวย
คุณไอติมเล่าว่า เราเข้าใจคนไทยด้วยกันเอง เราพูดภาษาเดียวกันกับลูกค้า นี่เป็นสิ่งที่เป็นจุดแข็งของเรา ที่สามารถไปแข่งกับต่างประเทศได้
ในเรื่องของบลัชดำตัวดัง เริ่มจากที่คุณไอติมอยากมีสินค้าตัวหนึ่ง อยากได้อะไรที่เป็น Unisex บวกกับตอนนั้นเทรนด์เปลี่ยนสีกำลังมา แต่เราก็อยากสร้างความแตกต่างให้คนจำได้ เลยมาจบที่บลัชดำตัวนี้ คุณไอติมเองเชื่อว่า ถ้าเราสามารถกุมหัวใจลูกค้าบางส่วนได้ ลูกค้าใช้แล้วชอบ สินค้าและแบรนด์เราก็ไปต่อได้
แล้วโทนเนอร์แพดมายังไง? คุณไอติมสังเกตว่า ในหมู่ช่างแต่งหน้าฮิตโทนเนอร์แพดนี้มาก ซึ่งส่วนมากจากต่างประเทศและมีราคาสูง แต่ว่าของไทยยังไม่มีใครทำเลย เลยอยากลองทำเอง และดีไซน์สินค้าให้ Outstanding มากพอ ให้คนรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ใช้
ด้านราคา LA GLACE เลือกที่จะขายสินค้าในราคาที่เข้าถึงได้ คุ้มค่า เพราะคุณไอติมมองว่า อยากให้ LA GLACE มาแก้ Pain Point เรื่องหน้าหยือหน้าหยาของคนไทย เลยทำราคาที่คนไทยน่าจะจ่ายไหว
HAPPY SUNDAY กับการขยายไลน์สินค้า และ Collaboration
คุณไอซ์เล่าว่า กลยุทธ์ของทางแบรนด์คือ อยากให้คนคิดถึงความสดใส คิดถึง HAPPY SUNDAY เพราะว่าคุณไอซ์มองว่า แต่ละวันมันก็เครียด ก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว อยากให้มีมุมที่มีความสุข และเวลาที่อยากเติมความสุข ก็ให้นึกถึงแบรนด์เรา
แต่ HAPPY SUNDAY ไม่หยุดแค่ที่ Beauty คุณไอซ์เลือกขยายไลน์สินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีสินค้าที่ตอบโจทย์ชีวิตรอบด้านและหลากลาย ให้ความสุขกระจายเข้าไปในทุกมุมของชีวิต
เรื่องการ Collaboration คุณไอซ์ชอบที่ได้ทำงานกับคนเก่ง ๆ เลยเลือกการทำ Collaboration และไปทำกับ Disney เริ่มที่ Toy Story, เจ้าหญิง และได้ Collab เรื่อย ๆ คนก็ตอบรับมากขึ้น และแบรนด์ก็โตไปเรื่อย ๆ ตาม
ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้ Disney มา Collab ด้วย คือการที่แบรนด์เป็นหัวแถวเรื่องความสดใส ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไอซ์ให้ค่าและตอบโจทย์ Disney ไปด้วยพร้อมกัน
แต่คำถามคือ ทำไมบางแบรนด์ก็ทำเรื่องความสดใสแต่ไม่แมส มันเป็นเพราะอะไร?
คุณไอซ์เล่าว่า เบื้องหลังคุณไอซ์ชอบความสดใสมาก บวกกับที่ตัวเองเป็น Influencer ทำให้สินค้าทุกอย่างมีมาตรฐานของมันเอง ดังนั้นจุดแข็งคือคุณไอซ์ต้องมั่นใจว่าสินค้ามันดีจริง ๆ ถึงจะกล้าเอาออกมาขาย ทำให้สินค้าทุกตัวถูกดีไซน์มาอย่างดีที่สุด และต้องทำให้มันมากกว่าแค่ดีเฉย ๆ เพราะของที่ดีควรใช้แล้วดีต่อใจ ใช้แล้วใจฟู
คุณไอซ์เสริมว่า ก่อน Launch สินค้า เราต้องคุยกับตัวเองให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร มีภาพในหัวชัดเจน เพื่อให้เราเอาไปอธิบายให้ทีมต่อ และสามารถทำงานต่อได้ ในการทำงาน คุณไอซ์จะมีการตั้งทรง ต้องมีดราฟท์ 1 2 3 4 ก่อนที่จะออกมาเป็นสินค้าจริง
เรื่อง Packaging คุณไอซ์ย้ำว่า “Packaging ที่ดี คือ Package จึ้ง” หีบห่อสินค้าต่าง ๆ เกิดจากการทำงานหนักมากจริง ๆ ของบางอย่างทำเสร็จแล้วอาจจะดูดีอยู่แล้ว แต่มันต้องมากกว่าแค่ดีให้ได้ เพราะทุกคนก็ทำดีหมด ถ้าของไม่ดีจริงแล้วมาขาย เราเอาไปขายแล้วไม่ดี คนจะไม่เชื่อเราอีก เราจะต้องสร้าง Trust ให้ลูกค้าเห็นว่า นี่คือมาตรฐานของเรา พอลูกค้าเห็นเราแล้วรู้เลยว่ามาตรฐานเราสูง
Bitch With Brain สินค้าต้องตอบโจทย์ทั้ง Functional และ Emotional
คุณทรายเล่าว่า สินค้าของ BWB จะใช้การหยิบเทรนด์ต่างประเทศมา Localize ยกตัวอย่างเช่น รองพื้นแบบแท่งดังในยุโรปและอเมริกา ซึ่งตอบโจทย์ความง่ายที่ตามหา เลยพัฒนาสินค้านี้ให้เหมาะกับสภาพอากาศและความต้องการของคนไทย
กลยุทธ์ที่ BWB ใช้ ถ้าไม่ติ้กถูกทุกข้อนี้ จะไม่ Launch สินค้าออกมา
- Easy – สินค้าต้องใช้ง่าย คนไม่มีสกิลก็ต้องใช้ได้ผลลัพธ์ดี
- Brainy – สินค้าเป็น Multi Use เช่น ใช้ได้หลากหลาย พกพาง่าย ตกแล้วไม่กลิ้ง เพราะจาก Insight ผู้หญิงส่วนมากไม่ได้แต่งหน้าที่โต๊ะเตรื่องแป้ง มักจะแต่งบนรถ หรือที่ทำงาน
- Fun – สินค้าใช้งานแล้วแต่งหน้าสนุก
แต่ละแบรนด์มีกลยุทธ์การตลาดยังไงบ้าง ?
คุณทรายเล่าว่า อยากให้ BWB เป็นนักเล่าเรื่อง เวลาทำการสื่อสารเลย หยิบอินไซต์มาเล่าเรื่องในฝั่ง Emotional แต่ไม่ทิ้ง Functional เป็นเครื่องสำอางที่ให้ลูกค้าออกไปใช้ชีวิตได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแล้ว
โดย BWB เป็นการรวมตัวของคนรีบ คนขี้เกียจ คนเป๊ะ คนชิล ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นให้ทางแบรนด์สร้างสินค้าจากตรงนี้ แต่ละคนมีโจทย์ต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่น อยากสวยได้ง่าย ๆ และตอบโจทย์ Functional
ฝั่ง LA GLACE คุณไอติมเล่าว่า การทำให้แบรนด์ไวรัลมาจากการใส่ใจในเรื่องของการสร้างคอนเทนต์มาก ๆ เพราะว่านี่คือส่วนที่เราเข้าถึงลูกค้า มันไม่ใช่ว่ามาถึงขายเลย บอกลูกค้าให้ซื้อแล้วเขาจะซื้อ เราต้องจับใจคนให้ได้ พอคนอยู่ที่ Platform เราก็ต้องเข้าไปตรงนั้น ทางแบรนด์จะทำงานร่วมกับทีม Data และสังเกตดูว่าอะไรเป็นเทรนด์ และลงมือทำเลย ทำให้มีทีมคอนเทนต์เยอะมาก และ Data ก็ทำให้ไอเดียต่าง ๆ นั้นคลิกและโดนใจลูกค้า
คุณไอซ์เล่าในฝั่งแบรนด์ HAPPY SUNDAY ว่าการ Collab เป็นกลยุทธ์สำคัญ คุณไอซ์เล่าว่า การ Collab กับน้องหมีเนยเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ และอยากค่อย ๆ ขยายสินค้าให้เข้าไปในชีวิตประจำวันของลูกค้ามากขึ้น
แล้วตอนนี้ตลาด T- Beauty วัดกันที่อะไร ?
คุณไอซ์มองว่า เป็นเรื่องของแบรนด์ เพราะสินค้ามีคุณภาพเหมือนกันหมด แต่ละแบรนด์นำเสนอแตกต่างกัน ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้คนตัดสินใจได้
คุณทรายมองว่า ลูกค้ามองหาแบรนด์ที่พูดภาษาเดียวกัน เข้าใจเขา พูดภาษาเขา อยากเป็น Community ไม่อยากเป็นแค่ Buyer
ถ้าต้องออกสินค้าปีหน้าอะไร แต่ละแบรนด์จะออกอะไรมา ?
คุณทรายบอกว่า การจะออกสินค้าอะไร เราควรสนใจเรื่อง Why มากกว่า Wow คือต้องตอบได้ว่าสินค้านี้ออกมาทำไม ตอบโจทย์อะไร
คุณไอซ์บอกว่า อย่างแรกคือเราต้องดูเทรนด์ก่อนว่าตอนนี้คนอื่นเขาทำอะไรกันอยู่ สองคือต้องดูคุณภาพของสินค้าเราด้วย เพราะถ้าตามเทรนด์แต่สินค้าไม่มีคุณภาพ เขาก็ไม่กลับมาซื้อ และสุดท้ายคือ Identity ของแบรนด์ เราต้องมีต้องหาให้เจอ และยืนหยัดกับมันให้ได้
คุณไอติมบอกว่า การทำสินค้าเราต้องคำนึงถึง 3 สิ่งนี้ อย่างแรกคือคุณภาพต้องดี ให้เขามี Trust กับเราตลอดไป สองคือ Unique ถ้าเราไม่แตกต่าง คนจำไม่ได้ จะ Waste Time ไปเลย และสาม คือ Identity อย่าเสียตัวตนของแบรนด์ อย่าหลงอย่าโลภไปกับเทรนด์และเม็ดเงินจนเสียตัวตนไป ไม่งั้นลูกค้าจะรู้สึกถูกทรยศ
เป้าหมายของแต่ละแบรนด์ในอีก 3 ปีคืออะไร ?
คุณไอซ์เล่าว่า อยากให้คนไทยทุกคนมีผลิตภัณฑ์จาก HAPPY SUNDAY อย่างน้อยคนละ 1 ชิ้น โดยมีคอนเซปต์ว่า ถ้าเราอยากมีความสุข ชอบความจอย อยากให้มี HAPPY SUNDAY 1 ชิ้น จากนั้นค่อยขยับเป็น Next Step อื่น ๆ แต่อย่างหนึ่งแน่ ๆ คืออยากให้แบรนด์นี้อยู่ยาว ๆ เราไม่อยู่แล้วแต่สิ่งนี้ยังอยู่เป็น Legacy ต่อไป
คุณไอติมบอกว่า อยากไปถึงเป้า 1,000 ล้านในสิ้นปีนี้ มองว่าตัวเองเป็นทั้งเครื่องสำอาง เป็น Soft Power ที่เป็นตัวแทนประเทศ เป็นองค์กรตัวอย่างให้คนรุ่นหลัง สิ่งที่เรายังแพ้ต่างชาติคือเรื่องระบบ แต่เรามีความสร้างสรรค์สูง แบรนด์เลยพยายามทำสิ่งนี้ให้ดีขึ้น สุดท้ายคืออยากให้ถึงจุดที่แม้เราไม่อยู่แล้ว แต่แบรนด์นี้ก็ยังไปต่อได้ คนในบริษัทยัง Carry บริษัทต่อ และยังคงมี DNA บริษัทต่อไปได้
แบรนด์ไทยจะสู้ต่างชาติได้ไหม ?
คุณไอติมบอกว่า เราสู้ได้แน่นอน แต่ต้องจับมือกัน พยายามผลักดัน ทำสินค้าคุณภาพดีออกมาก และหา Pain ว่าทำไมคนไทยไม่ใช้ และโปรโมท Storytelling ออกมายังไงให้ทัชใจคน
คุณไอซ์เสริมว่า เรามีจุดแข็งเรื่องสภาพอากาศ อากาศบ้านเราร้อนมาก ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องกันเหงื่อกันน้ำ เราสู้ได้จริง และวงการ T-beauty ต้องสู้ไปด้วยกัน
อะไรคือสิ่งที่แบรนด์รุ่นใหม่มองเห็นแต่รุ่นเก่ามองไม่เห็น ?
คุณทรายเล่าว่า ด้วยความที่เป็นแบรนด์เล็ก เวลาเห็น Insight เราสามารถจับแล้วทำได้เลย ไม่ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย เราสามารถลองเสี่ยงเอา Insight จากลูกค้ามาเล่นได้ทันที ซึ่งถือเป็นแต้มต่อที่ดีของแบรนด์เล็ก
คุณไอซ์เสริมเรื่องความสนิทและการเข้าใจลูกค้า ถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่ พอเรามี Insight หรือข้อมูลอะไร กว่าเรื่องจะวิ่งไปถึงผู้บริหารต้องใช้เวลา แต่แบรนด์เล็ก เราแค่ยกหูคุยกัน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ปรับได้เลย เรารู้เทรนด์ไว พอเราจับได้ เราก็สนิทกับลูกค้า เกิดความไว้วางใจจากลูกค้า
คุณไอติมเล่าว่า แบรนด์ LA GLACE อยู่ในจุดตั้งไข่ กำลังโตขึ้น เราทดลองได้ทำได้เลย แต่ถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่แล้ว เราต้องรอหลายเสียง ฟังหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องระบบก็ยังเป็นสิ่งที่เรายังอยากให้มีในแบรนด์ เพราะถ้าระบบพัง เราก็พังไปเลยได้เหมือนกัน ภาพปลายทางที่คุณไอติมอยากให้เป็นไปคืออยากให้ถ้าวันหนึ่งต่อให้คุณไอติมไม่อยู่แล้ว แต่ระบบก็ยังรันต่อได้ ไม่สะดุด