[Course Highlight] Agile x Customer Journey Mapping

ปัญหาที่เราอาจพบได้บ่อยในการทำโปรเจกต์หรือในการปั้น Product ขึ้นมา คือ ลูกค้าหรือแม้แต่องค์กรเองก็มักจะ ‘อยากได้ทุกอย่าง’ ทั้งโปรดักต์ที่ดี ราคาถูก และทำเสร็จเร็ว ซึ่งในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้หมด หากต้องการคุณภาพและต้นทุนที่ถูกลง ก็อาจต้องใช้เวลามากขึ้นในการพัฒนา ในขณะเดียวกัน หากต้องการความเร็ว ก็อาจต้องแลกกับการลดบางฟีเจอร์ลง

นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามในการพัฒนา Product คือเรื่องของ ‘อารมณ์’

โดยสิ่งที่จะสามารถมาช่วยให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้นว่าอะไรคือ ‘สิ่งที่สำคัญจริง ๆ’ ที่ลูกค้าต้องการและส่งผลต่ออารมณ์ของพวกเขา และช่วยให้เราปรับการทำงานบริหารโปรเจกต์ให้ตอบโจทย์ และมีประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัด คือ  การบริหารโปรเจกต์แบบ Agile และ Customer Journey Mapping

วิธีสังเกต ‘อารมณ์’ ลูกค้า ชี้ปัญหา เห็นจุดพัฒนาใน Products

Customer Journey Mapping คืออะไร

คือ หนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ว่าลูกค้าของเรามีปัญหาอะไรมีความต้องการอะไรบ้าง ทำให้เราสามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการได้ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น โดยมี Trigger Point เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของการทำ Customer Journey Mapping

เปิดวิธีสังเกตอารมณ์ลูกค้า ชี้ปัญหาเห็นจุดพัฒนาใน Products ด้วย Trigger Point ใน Customer Journey Mapping | Skooldio

3 องค์ประกอบของ Trigger Point 

Trigger Point ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ 

1️. Trouble Spot 👉 มีลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ ติดกันในระยะเวลาสั้น ๆ เป็นจุดที่ผู้ใช้งานอาจเกิดความสับสน อารมณ์มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน หรือเป็นส่วนที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งหลังจากจุดนี้เป็นไปได้ว่าอาจเกิดทั้งประสบการณ์ที่ ดี หรือ ไม่ดี ขึ้นมาทันที

2. Low Point 👉 เป็นจุดที่ต่ำลงมามากที่สุด อาจเกิดจากประสบการณ์ในการใช้งานที่ไม่พึงพอใจมาก ๆ ซึ่งก็อาจเกิดได้จากความคาดหวังของผู้ใช้งาน ที่คาดหวังว่าจะต้องเป็นแบบนี้ ๆ เกิดการเปรียบเทียบกับประสบการณ์เดิม หรือเกิดขึ้นเพราะปัญหาจากระบบที่ไม่ได้มีตัวช่วยซัพพอร์ตให้พวกเขาผ่านสถานการณ์นั้น ๆ ไปได้ รวมไปถึงบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สถานการณ์รอบตัวที่ทำให้ผู้ใช้งานเกิดอุปสรรคในการใช้งานก็เป็นได้ 

3️. High Point 👉 สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งานมาก ๆ ตรงข้ามกับ Low Point เช่น เมื่อเทียบกับประสบการณ์เดิมแล้วพบว่าดีมาก ๆ เป็นไปตามความคาดหวัง หรือ ได้รับการซัพพอร์ตการใช้งานที่ดี นอกจากนี้อาจเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงในการใช้งานก็ได้ 

แต่ละองค์ประกอบจะช่วยทำให้เรารู้ว่า ณ เวลานั้น ๆ ผู้ใช้งานรู้สึกอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มีส่วนไหนที่เป็นปัญหา ส่วนไหนสามารถพัฒนาต่อยอดให้ Products ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้บ้างนั่นเอง

Customer Journey Mapping | Skooldio

‘บริหารโปรเจกต์’ แบบ Agile ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการไวขึ้น! 

Project Management Triangle 

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Project Management Triangle กัน ปัจจัยที่เราสามารถบริหารได้ในโปรเจกต์เพื่อให้ออกมาเป็นโปรเจกต์ที่ดี มีคุณภาพ มีอยู่สามส่วนด้วยกัน คือ 

1. Scope ขอบเขตงานของโปรเจกต์ที่เราจะทำ 👉 จะทำงานเล็ก-ใหญ่ แค่ไหน / อะไรคือสิ่งสำคัญ ทำก่อน-ทำหลัง 

2️. Resource ทรัพยากรหรือคนที่เราต้องใช้ 👉 จะใช้คนมาก-น้อย ขนาดไหน บริหารทรัพยากรอย่างไร 

3️. Time เวลา 👉 เรามีเดดไลน์หรือไม่ อะไรต้องเสร็จเร็ว-ช้า /เสร็จก่อน-หลัง จะบริหารเวลาอย่างไร 

ทั้งสามปัจจัยนี้เชื่อมโยงกันไปมา ถ้าอันไหนเพิ่มขึ้นมาก็อาจจะต้องไปลดอีกอันหนึ่งเพื่อให้มีความสอดคล้องกัน และเมื่อสามอย่างนี้รวมกัน ก็จะทำให้โปรเจกต์ออกมาสำเร็จได้ 

เปลี่ยนวิธีคิดในการบริหาร Project ให้เป็นแบบ Agile 

Agile Project Management วิธีบริหารโปรเจกต์ แบบ Agile ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการไวขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานปี 2025 | Skooldio

เราอาจเคยได้ยินการบริหารแบบเก่า ที่เป็นการคิดแบบ Waterfall เริ่มตั้งจาก Requirement และเป็นการเดาไปข้างหน้าว่าเราจะใช้ resources และ time เท่าไหร่ในการทำจนเสร็จ  

ในขณะที่ในโลกของ Agile จะมีความตรงข้ามกันกับวิธีการคิดแบบ Waterfall สามเหลี่ยมจะกลับหัว เพราะเราอยากจะส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าเร็วที่สุด

เราจะเริ่มตั้งต้นจาก resource กับ time ว่าทีมของเรามี resource เท่าไหร่ มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนที่เรียกว่าการทำ time boxing เช่น ทุก 1 อาทิตย์ / 2 อาทิตย์ / 1 เดือน เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ทุก 1 เดือนเราจะส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า

หลังจากเรากำหนด resource กับ time แล้ว สิ่งที่เราต้องมาประเมินต่อ คือเรื่อง scope ที่ต้องหาว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกค้าของเรา กำหนด scope ที่เป็นไปได้ด้วย เวลาและ  resource ที่เรามีจำกัด ไม่ใช่การทำหลายอย่างวนไปเรื่อย ๆ แล้วหวังว่าสุดท้ายแล้วตอนจบลูกค้าจะได้ครบทุกอย่าง แต่คือการ”ตัดสินใจเลือกและโฟกัสในการทำสิ่งนั้นให้เสร็จ”

บทความเพิ่มเติม องค์กรทำ Agile ไม่สำเร็จเพราะอะไร?

Agile Essentials | Skooldio

ผสาน Agile + Customer Journey Mapping เพื่อโปรเจกต์ที่ส่งมอบคุณค่าได้เร็วและตรงใจลูกค้า 

การผสาน Agile กับ Customer Journey Mapping เข้าด้วยกันจะช่วยให้การบริหารโปรเจกต์ของคุณไม่เพียงแค่รวดเร็ว แต่ยังตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงใจ ทำให้เราสามารถสร้างโปรดักต์ที่มีคุณค่าไปพร้อมกับการพัฒนาโปรเจกต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


มาเปิดเส้นทางการใช้งานของ Users เพื่อต่อยอด และพัฒนา Products ไปกับคอร์ส Customer Journey Mapping

customer journey mapping | skooldio

เห็นตั้งแต่ภาพรวมของการทำ Customer Journey Map ตั้งแต่เริ่มต้นว่าเครื่องมือนี้คืออะไร ไปจนถึงความสำคัญของ Customer Journey Map ต่อทีม UX และสมาชิกภายในองค์กร พร้อมแบบฝึกหัดให้ทำตลอดคอร์ส!

สมัครเรียนคลิก Customer Journey Mapping


ตอบโจทย์ทันความต้องการลูกค้า ด้วยการทำงานแบบ Agile ไปกับคอร์ส Agile Essentials คัดเน้นหัวใจสำคัญของ Agile นำไปเริ่มต้นปรับใช้ในการทำงานได้จริง!

[Course Highlight] Agile x Customer Journey Mapping | Skooldio

 

สอนโดย ดร. วิโรจน์ จิรพัฒนกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง Skooldio และ อดีต Data Scientist ที่ Facebook สมัครเรียน คลิก Agile Essentials ได้เลย 

More in:Business

Comments are closed.