ประเทศเดนมาร์ก นับว่าเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีความสุขมากที่สุดเป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยจากรายงาน “World Happiness Report” ที่จัดทำโดย UN ได้จัดลำดับไว้เป็นประจำทุกปีนั้น เราจะพบว่าตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่มีคะแนนสูงที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 มาโดยตลอด พวกเขาทำได้อย่างไร?
ส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ประชากรของเดนมาร์กรู้สึกมีความสุขนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการวางรากฐานทางการศึกษาที่เป็นการบรรจุเอาวิชา “Empathize” มาเป็นส่วนหนึ่งของวิชาหลักในโรงเรียนมาตั้งแต่ปี 1993 โดยคลาสนี้มีชื่อว่า “Klassens Tid” ซึ่งถูกบรรจุให้เด็กที่มีอายุระหว่าง 6 ปีได้เรียนไปจนกว่าจะมีอายุ 16 ปี เขาทำกันอย่างไร?
“เมื่อได้รับความใส่ใจจากเพื่อนๆ เด็กๆ จะรู้สึกว่าตัวเขามีความสำคัญในสังคม”
ที่โรงเรียน เวลาจะถูกจัดสรรไว้เป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงเสมอ ในชั่วโมงนี้ คุณครูจะสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง ที่จะสามารถทำให้เด็กๆรู้สึกผ่อนคลาย จนกล้าที่จะเล่าเรื่องราวของตนเองออกมาให้เพื่อนๆฟังได้อย่างไม่ขัดเขิน คุณครูจะทำหน้าที่มองหาเรื่องราวจากเด็กๆ ในคลาสขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาส่วนตัว ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ หรือกระทั่งปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลาสเรียนนี้ก็ได้ ทำไมพวกเขาทำแบบนี้?
เด็กๆในคลาสจะพูดคุยกันบนหัวข้อสนทนาดังกล่าว บ้างก็คุยกัน 1 ต่อ 1 บ้างก็คุยกันเป็นกลุ่ม โดยคุณครูจะคอยช่วยทำให้เด็กๆ ได้เห็นภาพว่าพวกเขาจะฟังและเข้าใจผู้อื่นได้อย่างไร เด็กๆ จะ “ฟัง” เพื่อทำความ “เข้าใจ” ก่อนที่จะเริ่มแสดงความ “คิดเห็น” ของตนเองที่จะช่วย “แก้ปัญหา” ของเพื่อนร่วมคลาสเรียน กระบวนการเช่นนี้จะถูกทำขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เด็กๆมีโอกาส ฟัง-เข้าใจ-คิดเห็น-แก้ปัญหา แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย คำถามคือทำแบบนี้แล้วได้อะไร?
“พ่อแม่ชาวเดนมาร์กเชื่อว่า เด็กที่มีความสุขจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข และสามารถทำให้เด็กรุ่นหลังมีความสุขต่อไปได้”
เมื่อเด็กๆได้มีโอกาสเข้าคลาสนี้ เด็กๆ จะได้รับความใส่ใจจากเพื่อนๆ เขาจะรู้สึกว่าตัวเขามีความสำคัญในสังคม และรับเอาแรงบันดาลใจเหล่านั้น กลับไปใช้ในชีวิตประจำวัน ตรงนี้เองที่พ่อแม่และคุณครูต่างก็เชื่อว่า กิจกรรมในคลาสเรียนดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ ทำให้เด็กๆมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น รู้จักวิธีการเข้าหาสังคม ลดการ bully และเมื่อเด็กๆกลุ่มนี้เติบโตขึ้น พวกเขาก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นอีกด้วย
ตอนนี้เราได้เห็นเบื้องหลังความสำเร็จของหนึ่งในประเทศที่ประชากรมีความสุขมากที่สุดในโลกกันไปแล้ว ว่า “Empathize” หรือการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นนี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า “Empathize” นั้นเป็นทักษะที่ทุกคนก็สามารถฝึกฝนได้ หวังว่าความสำเร็จของ Klassens Tid นี้ จะช่วยให้คุณตระหนักถึงความสำคัญของ “Empathize” มากขึ้น และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเลี้ยงดูบุตรหลานให้มีความฉลาดทางอารมณ์ องค์กรที่ต้องการสร้างสังคมการทำงานให้มีความสุข ก็น่าลองศึกษาดูว่า จะนำเอาวิธีการฝึก “Empathize” นี้ มาปรับใช้กับลูกหลาน หรือบุคลากรในองค์กรของคุณได้อย่างไร?