ก่อนที่จะเริ่มลงโฆษณาใน Facebook สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก่อนเลยคือ Campaign Structure เพราะการที่เราเข้าใจโครงสร้างแคมเปญนั้น จะทำให้หาจุดที่ควรแก้ไขของการรันโฆษณาทำได้ง่ายขึ้น นำไปสู่การ Optimized Ad ได้อย่างถูกจุด
Table of Contents
มาทำความเข้าใจโครงสร้างของ Facebook Ads กัน
โครงสร้างของ Facebook Ads นั้นแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1.Campaigns
2.Ad Sets
3.Ads
ส่วนที่ 1: Campaigns
โดยในส่วนแรกที่คลุมทุกอย่างไว้คือ Campaign โดยในส่วนของแคมเปญนี้จะมีการกำหนดจุดประสงค์ของการทำโฆษณานั้นๆ ว่าเราต้องการให้คนเห็น เข้าชมเว็บไซต์ ให้คนมา Engage กับเพจหรือโพสต์ หรือให้คนเข้ามาทำให้เกิด Conversion ซึ่งตอนนี้ Facebook Objective #อัปเดตล่าสุด ปี 2024 มี 6 Campaign Objectives ด้วยกัน โดยเปรียบเทียบกับ Objective เดิม จะมีอะไร และเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ไปดูกันเลย
Campaign Objective | เป้าหมายของการทำแคมเปญโฆษณา | Objective เดิม |
Awareness | สร้าง Awareness ให้กับแบรนด์ Objective นี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงคนในจำนวนเยอะๆ และมีแนวโน้มที่จะจำโฆษณาของเราได้ | Brand awareness
Reach Video views Store traffic |
Traffic | เพิ่มจำนวน Traffic คนเข้า Facebook / Instagram Shop, Website หรือ App | Traffic |
Engagement | เพื่อให้คนมา Engage กับเรา โดยอาจจะเป็นการส่งข้อความ หรือการทำ action บางอย่างบน Ads หรือ Facebook Page (การกด Reaction, คอมเม้น หรือการแชร์) | Engagement
Video views Messages Conversions |
Leads | เก็บ Leads ผ่านทางข้อความ โทร หรือการลงทะเบียน
Collect leads for your business or brand via messages, phone calls or signups. |
Lead generation
Messages Conversions |
App Promotion | เข้าถึงคนผ่านทางมือถือเพื่อให้ Download หรือทำ action บางอย่างบน Application | App install |
Sales | รันโฆษณาเพื่อหาคนที่จะมาซื้อสินค้าหรือบริการของเรา
Find people likely to purchase your goods or services. |
Conversions
Catalog sales |
นอกจากนั้นเรายังสามารถกำหนดงบประมาณใน level แคมเปญได้ด้วย (หรือจะไปกำหนดใน Ad Set ที่เรากำลังจะอธิบายในส่วนถัดไปก็ได้เช่นกัน)
ส่วนที่ 2: Ad Set
ในส่วนนี้เราสามารถสร้างได้หลาย Ad Set ใน 1 Campaign โดยส่วนประกอบย่อยที่เราต้องกำหนดใน Level Ad Set คือ
Audience กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ Target โดยสามารถเลือกได้ตาม Demographics, Interest, และ Behavior
Budget & Schedule กำหนดงบประมาณและช่วงเวลาที่ต้องการรันแคมเปญ
Placements เลือกว่าต้องการให้โฆษณาไปอยู่บนจุดไหนบ้าง เช่น หน้า Feeds, Stories, Reels, และอื่นๆ
Optimization & Delivery คือการเลือก Event ที่เราต้องการ Optimize และสามารถกำหนด Bidding Cost Per Result ที่ต้องการได้ (Optional)
ส่วนที่ 3: Ad
ในขั้นที่ 3 หรือขั้นสุดท้ายคือ Ad หรือจะเรียกง่ายๆ คือส่วนของ Creative นั้นเอง ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งภาพและวิดีโอ ในส่วนนี้จะสามารถใส่ Creative Ad ไปกี่ตัวก็ได้ในแต่ละ Ad Set เพื่อที่จะได้มี Message ที่หลากหลาย สามารถทดสอบ Ad ได้เรื่อยๆ
ใครที่อยากจะยิงแอดให้ได้ ROAS หรือ Return on Ads Spend ดีๆ ก่อนอื่นต้องเข้าใจโครงสร้างของการยิงแอดก่อน เพื่อที่จะได้สามารถ Optimized ได้อย่างถูกจุด รู้ว่าส่วนไหนของแคมเปญเราคือส่วนที่ต้องปรับ
ยกตัวอย่างเช่นถ้า Ad Set ตัวที่ A ไม่เวิร์ค นั้นอาจจะหมายความว่าการตั้ง Audience ของเราไม่เวิร์คหรือไม่ก็อาจจะเป็น Placement ที่ไม่ถูกที่หรือเปล่า ก็ต้องเข้าไปวิเคราะห์ต่อ หรือหาก Ad Set เวิร์คมากๆ ทำตาม Objective ที่ตั้งไว้อย่างดี แต่ลองเข้าไปดูตัว Ad ด้านใน อาจจะมีตัว Ad ที่ดีมากๆ กับตัวที่ทำได้ไม่ดีก็ได้เหมือนกัน ซึ่งในกรณีนี้แสดงว่า Message ในแต่ละ Ad ก็ได้ผลต่างกัน พอเราเห็นแบบนี้ก็จะจับทางการทำตลาดได้ถูกมากขึ้น รู้ว่าการสื่อสารแบบไหนที่เวิร์คหรือไม่เวิร์ค
เพราะฉะนั้น การที่เราเข้าใจโครงสร้างของ Facebook Ads ได้ จะทำให้เราสามารถทดลองและ Optimized ได้อย่างถูกจุดที่สุด
ใครที่อยากจะสามารถ Optimized Ad ได้อย่างโปร สร้าง ROAS ได้สูง หรือสามารถทำ ROI ให้กับธุรกิจได้จริง ผ่านการทำการตลาดที่วัดผลได้ ห้ามพลาด Performance Marketing Bootcamp (ใครที่ยังไม่เข้าใจว่า Performance Marketing คืออะไร ทำความเข้าใจกันได้ที่นี่)
หลักสูตร 7 สัปดาห์อัปสกิลเหล่านักการตลาดเตรียมความพร้อมสู่การเป็น Performance Marketer ตัวจริง ตำแหน่งที่หลายๆ บริษัทต้องการ ด้วยเนื้อหาสุดเข้มข้นให้คุณลงแรงให้ถูกจุดสร้าง ROI สูงสุดให้ธุรกิจของคุณ