เราเป็นผู้นำที่ไม่ให้ลูกน้องเสพติดกับความสำเร็จเดิม ๆ ถ้าวันหนึ่งมันไม่ปังเขาอาจจะโทษตัวเอง ต้องลองให้เขาได้มีถ้วยรางวัลรูปแบบใหม่ ๆ บ้าง

สรุปวิธีบริหารบริษัทยังไงให้ “โคตรคูล” โดยที่พนักงานรัก จาก โอ๊ต ปราโมทย์ CEO, โคตรคูล ในงาน The Entrepreneur Forum 2024

การทำธุรกิจใน Red Ocean

ตอนนี้โคตรคูลเป็น Production House มูลค่า 400 ล้าน แต่คุณโอ๊ตเล่าว่า Backgroud เขาไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเลย เมื่อพอจังหวะมาก็ลองทำดู เอาความสนุกเป็นที่ตั้ง จนวันที่ลูกค้ามองเห็น ซึ่งรายได้จาก EP นั้น มันทำเงินจนต่อไปได้เป็น 10 EP

คุณโอ๊ตเล่าว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยดูรายได้มาก่อน แต่พอ Workpoint จะมาซื้อหุ้น จึงได้ดูตัวเลขย้อนหลังทั้งหมด และตกใจว่าบริษัทที่มีคนแค่ 30-40 ของเขาจะทำรายได้เยอะขนาดนี้

“ที่ผ่านมาไม่เคยดูรายได้มาก่อน เพราะเราโฟกัสแต่ตัวเอง จนไม่ได้มองคู่แข่งเลย ผมมองว่าทุกเจ้าเป็นเพื่อนมากกว่า เราชอบที่จะทำสิ่งนี้เหมือนกัน อย่าไปมองว่าเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมเป็นคู่แข่ง ให้โฟกัสที่ตัวเอง”

ส่วนคีย์สำคัญในการทำธุรกิจแบบโอ๊ตปราโมทย์ คุณโอ๊ตเล่าว่า จุดเด่นของโคตรคูล คือ ย่อยง่าย
การขายเดี๋ยวนี้เน้นที่ความ real อ่านสคริปต์ผิด ๆ ถูก ๆ ลูกค้าก็ชอบ ทุกวันนี้คนสามารถเลือกดูแต่สิ่งที่ต้องการได้ในมือถือ โคตรคูล Target คือคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้น การขายก็คือขายตรง ๆ ไม่มาอ้อมค้อมเลย

เป็นบริษัทที่ตลกเฮฮา แต่ก็มีมุมจริงจัง

แม้ในสื่อต่าง ๆ เขาจะดูเป็นคนเฮฮา แต่ส่วนในพาร์ทการเป็นหัวหน้า เขาเป็นคนจริงจัง ที่ชอบเห็นเด็ก ๆ โตขึ้น เก่งขึ้น ปั้นให้เขาเก่ง “เรารับเด็กอายุน้อย ๆ เพื่อให้เขาเติบโตไปพร้อมกัน ส่วนเราเป็นพี่ชายที่ให้คำปรึกษา ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้หรือไม่อยากได้ ให้สิทธิ์น้อง ๆ โหวต ช่วยตัดสินใจ”

นอกจากนั้น คุณโอ๊ตเล่าว่า เขาต้องการให้น้อง ๆ ในทีมไม่ยึดติดกับเซฟโซน เพราะเมื่อเขาทำไม่ดีเท่าเดิม เขาจะนอยได้ ถ้าเป็นเกมก็คือโยนเควสให้เขาทำ ให้เขาได้ก้าวหน้า ไม่ใช่สำเร็จกับสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้เขาได้ถ้วยรางวัลแขนงใหม่ ๆ บ้าง แม้วันหนึ่งเขาจะเติบโตจนทิ้งเราไป เราก็ยังภูมิใจที่เขาเติบโตได้

คุณโอ๊ตเล่าถึงการใส่ใจพนักงาน เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เขามองว่าปริมาณงานกับทีมไม่สัมพันธ์กัน เขาไม่รอช้าที่จะตัดสินใจขยายทีม เพราะถ้างานมัน overload เกินไป ก็มีโอกาสที่มันจะเละ คีย์สำคัญคือการถามทีมตลอด ถ้าเขาอยากได้คนมาช่วย เราต้องช่วยเขา อย่าให้เขาทำงานจนโหลดแล้วงานมันจะเละหมด

ผู้นำหลายคนกลัวการรับคนมาเติมทีม

เพราะคน = fix cost ถ้าเพิ่มเรื่อยๆแล้วงานไม่มีทำไง คุณโอ๊ตตอบว่าตอนแรกก็กลัว แต่พอมาดูหลังบ้านแล้ว เขายังมี passive income จาก youtube ที่จะเลี้ยงบริษัทต่อได้อีกเป็นปี จึงมั่นใจในการขยายธุรกิจ “เรามั่นใจในธุรกิจตัวเอง ยังไงคลิปโคตรคูลก็ติด 1 ใน 5 ที่ลูกค้าอยากซื้อแน่นอน”

“ที่โคตรคูล Turnover ต่ำมาก แต่เราก็มีเพดานของเรา ถ้าเด็กที่เราเลี้ยงดูมาเขาโตเกินเพดานนั้นแล้ว เราก็ต้องปล่อยเขาไป” นี่คือเหตุผลที่คุณโอีตอยากให้น้องในทีมได้มีโอกาส Rotate งานกันตลอด เพราะเมื่อมีคนไป ก็จะมีคนที่ทำแทนได้

ถ้าวันหนึ่งโคตรคูลไม่มี โอ๊ต ปราโมทย์ ทำยังไง ?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนมองว่า โคตรคูล = โอ๊ต ปราโมทย์ เหมือนกับที่คนมองว่า Workpoint = คุณปัญญา แต่ความจริงแล้ว นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เขาขายหุ้นให้ Workpoint เพราะเขาสร้างฐานไว้หมดแล้ว มีคนดูแลแล้ว ตอนนี้ต่อให้ไม่มีเขา ความสนุกสไตล์โอ๊ต ปราโมทย์มันอาจจะหายไป แต่เขามั่นใจว่าทีมงานของเขา จะยัง Deliver งานที่ยอดเยี่ยมเสมอ

พูดถึงเมื่อมีการลงทุนจาก Workpoint เข้ามาในบริษัท สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการวางแผนหลังบ้านทั้งหมด เขาได้ออกมามองภาพกว้าง ๆ มากขึ้นเพราะไม่ต้องดูส่วนเล็ก ๆ ในบริษัทแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ DNA ของโคตรคูล

สุดท้ายคุณโอ๊ตได้ฝากทิ้งท้ายว่า “ความชอบกับธุรกิจที่เราต้องทำมันไปด้วยกันได้ อย่าไปกลัวว่าตลาดมีเจ้าใหญ่เยอะไปหมด ถ้าวันนี้ชอบอะไรทำเลย และอย่าทำสิ่งที่ตลาดต้องการจนลืมสิ่งที่ชอบ และไม่ต้องมองไกลขนาดนั้นก็ได้ เพราะพอเส้นทางไกล เราผิดหวังได้ แค่ 1 วัน หรือ 1 สัปดาห์ที่เราทำ ถ้ามันสำเร็จ มันยอดเยี่ยมก็พอแล้ว” เพราะทุกครั้งที่เขากลับมามองโคตรคูล เขาก็ทึ่งเหมือนกันที่มันมาไกลได้ขนาดนี้

More in:Business

Comments are closed.