เคยมั้ย?? ออกแบบฟีเจอร์มาจัดเต็ม แต่ลูกค้าบอกใช้ไม่เป็นซะงั้น!?! 🫠

📣 มาทำความรู้จัก Usability Testing กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ Product ของเรา ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ผู้ใช้จริง! รับรองว่า Launch Product มาถูกใจลูกค้าแน่นอน 🫶🏻

Table of Contents

Usability Testing คืออะไร?

ทำไมสาย UX/UI และคนพัฒนา Product ต้องรู้ !?

Usability Testing คือ กระบวนการทดสอบความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use) ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยให้กลุ่มผู้ใช้ทดลองใช้จริง เพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาสามารถทำงานที่ต้องการได้อย่างราบรื่น พร้อมระบุจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้ UX/UI ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น

Usability Testing | Skooldio

ทดลองเรียนฟรี! เข้าห้องเรียนคลิก Usability Testing

ทำไม Usability Testing ถึงสำคัญ?

  • ช่วยค้นหาปัญหาการใช้งานก่อนเปิดตัว
    → ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะติดขัดและออกจากแพลตฟอร์ม
  • เพิ่มประสิทธิภาพ UX/UI
    → ปรับดีไซน์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้จริง
  • เพิ่ม Conversion และลด Drop-off Rate
    → ทำให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการที่สำคัญ เช่น สมัครสมาชิก หรือซื้อสินค้า ได้ง่ายขึ้น
  • ลดภาระงานฝ่าย Customer Support
    → แก้ปัญหาตั้งแต่ต้น ลดคำถามจากผู้ใช้

ขั้นตอนสำคัญของ Usability Testingขั้นตอนในการทำ Usability Testing คืออะไร? ทำไม UX/UI Designer ต้องรู้!

ภาพจากคอร์ส Usability Testing

1. กำหนดเป้าหมายของการทดสอบ

เป็นการระบุ “สิ่งที่ต้องการทราบ” และ “แนวทางการนำข้อมูลไปใช้” เพื่อปรับปรุง UX/UI อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น หากต้องการวิเคราะห์ปัญหาในขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า
เป้าหมายอาจเป็น “ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้ยกเลิกคำสั่งซื้อหรือไม่สามารถสั่งซื้อสำเร็จ” เพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการให้ราบรื่นยิ่งขึ้น

  • ฟีเจอร์ไหนที่ผู้ใช้มีปัญหา?
  • มีจุดไหนที่สร้างความสับสนให้ผู้ใช้?
  • กระบวนการใช้งานมีอะไรที่ต้องปรับปรุง?

💡 Tip: การตั้งเป้าที่ชัดเจน จะช่วยให้เราทำการทดสอบได้ตรงจุด และได้ข้อมูลที่นำไปใช้งานได้จริง

2. คัดเลือกกลุ่มผู้ใช้ เพื่อมาทดสอบ

เลือกผู้ใช้ที่ตรงกับ Target Audience เพื่อให้ผลการทดสอบสะท้อนพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้จริง โดยใช้ User Screener เพื่อคัดกรอง เช่น:

  • เป็นผู้ใช้เดิมที่เคยใช้งานมาก่อน หรือ ผู้ใช้ใหม่ที่เพิ่งใช้งานครั้งแรก?
  • ใช้อุปกรณ์อะไรในการเข้าเว็บไซต์/แอปบ่อยที่สุด? 

3. ออกแบบโจทย์และรูปแบบการทดสอบ (Task & Scenario)

ตัวอย่าง Task ที่ใช้ทดสอบ UX/UI

  • “ลองสั่งซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งบนเว็บไซต์โดยใช้คูปองส่วนลด”
  • “ค้นหาฟีเจอร์ [X] ในแอป แล้วลองใช้งานดู”

💡 Tip: ระวังการตั้งโจทย์ที่อาจจะมีคำใบ้ หรือคำตอบโดยที่ไม่ตั้งใจ ซึ่งจะส่งผลให้ user ทำได้เพราะมีคำใบ้นั้น

4. ทำการทดสอบ และเก็บข้อมูล

Usability Testing มีหลายประเภท เช่น

  • Moderated Testing – มีผู้ดูแลคอยสอบถามและสังเกต
  • Unmoderated Testing – ให้ผู้ใช้ทำแบบทดสอบเอง
  • Remote Testing – ให้ผู้ใช้ทดสอบจากที่บ้านผ่าน Zoom หรือ Lookback

5. วิเคราะห์ผล และปรับปรุง UX/UI

วิเคราะห์จากข้อมูลต่าง ๆ เช่น

  • Feedback ของผู้ใช้
  • พฤติกรรมระหว่างทดสอบ
  • จุดที่ทำให้ผู้ใช้สับสนหรือหลุดออกจาก Flow

💡 Tip: การจดและบันทึกผลอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การวิเคราะห์ผลง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่าปล่อยให้ UX/UI เป็นจุดอ่อนของ Product! หมดปัญหาออกแบบ Web/App ไม่ตอบโจทย์ เรียนรู้ขั้นตอนสำคัญ Usability Testing ให้คุณเข้าใจผู้ใช้จริง


การทำ Usability Test ช่วยวัดผลด้านไหนได้บ้าง?

1. Learnability (ความง่ายในการเรียนรู้)

เป็นการวัดว่าผู้ใช้เรียนรู้วิธีใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและรวดเร็วแค่ไหน โดยส่วนมากจะวัดเวลาและความสำเร็จในการให้ user ทดลองใช้งาน Feature นี้เป็นครั้งแรก

2. Memorability (ความง่ายในการนึกถึงวิธีใช้งาน)

ปัจจัยนี้สำคัญมากสำหรับ Product ที่อาจไม่ได้ใช้งานบ่อย เช่น แอปที่ผู้ใช้เปิดเป็นครั้งคราว หรือแพลตฟอร์มที่ต้องใช้เป็นระยะ ๆ การวัดผลในส่วนนี้ช่วยให้เราทราบว่า เมื่อผู้ใช้กลับมาใช้งานอีกครั้ง พวกเขาสามารถจดจำวิธีใช้งานได้ง่ายแค่ไหน หากระบบมี Memorability ที่ดี ผู้ใช้จะไม่ต้องเสียเวลาศึกษาใหม่ ,ลดการอ่านคู่มือ, การติดต่อ call center และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด และทำให้ประสบการณ์การใช้งานราบรื่นยิ่งขึ้น

3. Efficiency (ประสิทธิภาพที่ User สามารถทำงานได้สำเร็จ)

ผู้ใช้สามารถทำงานที่ต้องการได้สำเร็จอย่างรวดเร็วและแม่นยำแค่ไหน ซึ่งเราจะวัดจากเวลาที่ใช้ในการทำงานต่างๆ จำนวนคลิก หรือขั้นตอนที่ต้องทำ และอัตราความสำเร็จในการทำงาน

4. Error (การป้องกันไม่ให้ User ทำพลาด หรือสามารถกลับมาแก้ไขได้เมื่อเจอปัญหา)

ปัจจัยนี้วัดว่า ระบบสามารถช่วยลดข้อผิดพลาดของผู้ใช้ได้ดีแค่ไหน และเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ผู้ใช้สามารถแก้ไขได้ง่ายหรือไม่ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อกรอกข้อมูลผิด หรือมีคำแนะนำ/วิธีให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขได้ง่าย เช่น ปุ่ม Undo เป็นต้น ซึ่งระบบที่ดีควรช่วยให้ผู้ใช้ทำผิดพลาดน้อยลงและแก้ไขได้โดยไม่ยุ่งยาก

5. Satisfaction (ความพึงพอใจโดยรวมจากการใช้งาน User มีประสบการณ์ที่ดีหรือไม่)

ผู้ใช้รู้สึกพึงพอใจกับการใช้งานผลิตภัณฑ์โดยรวมหรือไม่ พวกเขาคิดว่าผลิตภัณฑ์ใช้งานง่าย สะดวก และตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาหรือไม่ เราสามารถวัดความพึงพอใจได้จากแบบสอบถาม ความคิดเห็น รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ใช้

Metric ที่ใช้วัดผล Usability Testing คืออะไร? ทำไม UX/UI Designer ต้องรู้!ภาพจากคอร์ส Usability Testing

หลังจากการ Test และวิเคราะห์ผลตามแต่ละ Metric แล้ว

เราจะสามารถระบุปัญหา และลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนในการแก้ไข ตามระดับความรุนแรงของปัญหาได้


ระดับความรุนแรงของปัญหา

1. Stopper 🔥🔥🔥🔥– ปัญหาระดับร้ายแรงสุด **ต้องแก้ไขทันที**

ถ้าผู้ใช้พบเจอปัญหานี้ จะไม่สามารถใช้งานต่อได้เลย ต้องหยุด หงุดหงิด หรืออาจเลิกใช้ไปเลย ปัญหาประเภทนี้ต้องได้รับการแก้ไขทันที ก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์

เช่น ปุ่มสำคัญกดไม่ได้ ระบบล่ม หรือข้อมูลที่จำเป็นไม่โหลดขึ้นมา

2. Major 🔥🔥🔥– ปัญหาระดับสำคัญที่ต้องรีบแก้

ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานต่อได้ แต่มีอุปสรรค ต้องใช้เวลามากขึ้นหรืออาจต้องหาวิธีแก้ไขเอง ปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขเร็วที่สุด เพราะอาจส่งผลต่อประสบการณ์ใช้งานและลดความพึงพอใจ

เช่น ฟอร์มที่กรอกข้อมูลแล้วขึ้น Error บ่อย หรือกระบวนการ Checkout ที่ซับซ้อนเกินไป

3. Minor 🔥🔥– ปัญหาระดับเล็กที่ไม่รบกวนการใช้งานมาก

ปัญหานี้อาจทำให้ผู้ใช้ชะงักไปบ้าง แต่ยังสามารถดำเนินการต่อได้ ปกติแล้วสามารถรอการแก้ไขได้ในอัปเดตถัดไป

เช่น ปุ่มที่ตำแหน่งคลาดเคลื่อน หรือข้อมูลที่อ่านยากเล็กน้อย

4. Cosmetic 🔥– ปัญหาด้านความพึงพอใจที่ไม่ส่งผลต่อการใช้งาน

ผู้ใช้ยังใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของระบบ อาจเป็นเรื่องของดีไซน์ สี หรือไอคอนที่ดูไม่สมบูรณ์แบบ สามารถค่อย ๆ ปรับปรุงในอนาคตได้

เช่น ฟอนต์ไม่ตรงกับแบรนด์ หรือไอคอนดูไม่สอดคล้องกัน

ระดับความรุนแรงของปัญหาในการใช้งาน Usability Testing คืออะไร? ทำไม UX/UI Designer ต้องรู้!

ภาพจากคอร์ส Usability Testing


❌ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Usability Testing

1. เลือกผู้เข้าทดสอบผิดกลุ่ม

ปัญหา: หากเลือกกลุ่มผู้เข้าทดสอบที่ไม่ตรงกับ Target Audience ของผลิตภัณฑ์ อาจทำให้ได้ Feedback ที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งานจริง และไม่สามารถนำไปพัฒนา Product ต่อได้ ตัวอย่างเช่น

  • ทดสอบแอป E-commerce สินค้ามือ 2 แต่ใช้กลุ่มผู้ทดสอบที่ไม่ชอบสินค้ามือ 2
  • ทดสอบระบบ CRM แต่ใช้กลุ่มผู้ทดสอบที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานด้าน Sales หรือ Marketing
  • ทดสอบแอปฟิตเนส ว่าสมาชิกจองคอร์สได้ง่ายไหม แต่ใช้กลุ่มผู้ทดสอบที่เป็นคนเล่นกีฬาทั่วไป มาแทน

✅ วิธีหลีกเลี่ยง:

  • ใช้ User Screener เพื่อคัดกรองผู้เข้าร่วมให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
  • ระบุ Persona ของผู้ใช้ที่ต้องการทดสอบ ให้ชัดเจน เช่น อายุ, ประสบการณ์ใช้งาน, ความถี่ในการใช้ผลิตภัณฑ์
  • มีเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน เช่น ผู้ใช้ต้องเคยใช้แอปประเภทนี้ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

วิธีการเลือกกลุ่มทดสอบ User Recruitment , Usability Testing คืออะไร? ทำไม UX/UI Designer ต้องรู้!

ภาพจากคอร์ส Usability Testing

2. ถามคำถามชี้นำ (Leading Questions)

ปัญหา: คำถามชี้นำ คือคำถามที่มีคำพูดเชิงโน้มน้าว และอาจทำให้ผู้ใช้ตอบตามที่เราต้องการ ทำให้ผลลัพธ์เอนเอียง หรือไม่เป็นกลางได้ เช่น

  • “ปุ่มนี้ใช้งานง่ายใช่ไหม?” → เป็นการบอกเป็นนัยว่าปุ่มนี้ควรใช้งานง่าย
  • “คุณชอบฟีเจอร์ใหม่นี้ไหม?” → อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะให้ Feedback เชิงลบ
  • “คุณคิดว่า UI นี้สวยหรือเปล่า?” → คำว่า “สวย” เป็นความคิดเห็นของนักออกแบบ ไม่ใช่ความคิดเห็นที่มาจากฝั่งของผู้ใช้

✅ วิธีหลีกเลี่ยง:

  • ใช้คำถาม ปลายเปิด (Open-ended Questions) เช่น
    • “คุณสามารถหาฟีเจอร์นี้เจอได้อย่างไร?”
    • “คุณคาดหวังให้ปุ่มนี้ทำงานอย่างไร?”
    • “มีอะไรที่ทำให้คุณสับสนระหว่างการใช้งานไหม?”
    • “ถ้าคุณต้องการสมัครสมาชิก คุณจะเริ่มจากตรงไหน?”
    • “ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับราคาดูหน่อย”
    • “เล่าให้ฟังว่าขั้นตอนการชำระเงินนี้รู้สึกอย่างไร?”
  • เน้น สังเกตพฤติกรรมผู้ใช้มากกว่าคำตอบ เพราะบางครั้งผู้ใช้ตอบว่า “เข้าใจ” แต่จริง ๆ แล้วใช้งานผิด

3. ให้ข้อมูลมากเกินไปก่อนเริ่มทดสอบ

ปัญหา: หากอธิบายวิธีใช้งานมากเกินไป ก่อนเริ่มการทดสอบ อาจทำให้ผู้ใช้ ไม่แสดงพฤติกรรมการใช้งานจริงตามธรรมชาติ เช่น

  • บอกว่า ปุ่มเมนูอยู่ตรงไหน: ทำให้ผู้ใช้ไม่ได้หาปุ่มเอง ทำให้ไม่เห็นปัญหาการใช้งานจริง
  • บอกว่า ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่ออะไร: ผู้ใช้จะเข้าใจและพยายามใช้งานตามที่นักวิจัยคาดหวัง

✅ วิธีหลีกเลี่ยง:

  • ให้ผู้ใช้สำรวจระบบด้วยตนเองก่อนเริ่มทดสอบ
  • ใช้คำถามแบบ Task-based เช่น “ลองค้นหาวิธีเปลี่ยนรหัสผ่าน” โดยไม่บอกว่าฟีเจอร์อยู่ตรงไหน
  • ถ้าจำเป็นต้องให้คำแนะนำ ให้ใช้คำอธิบายที่เป็นกลาง เช่น “ลองใช้แอปนี้เหมือนที่คุณใช้งานแอปอื่น ๆ ดูนะ”

4. ไม่ได้บันทึกพฤติกรรมการใช้งานจริง

ปัญหา: หากพึ่งพาแค่ความจำของนักวิจัย อาจทำให้พลาดรายละเอียดสำคัญ เช่น

  • ผู้ใช้มีสีหน้าหรือท่าทางสับสนในบางจุด แต่ไม่ได้จดบันทึก
  • ลืมว่าผู้ใช้ทำผิดพลาดตรงไหนระหว่าง Task
  • ไม่มีหลักฐานประกอบการวิเคราะห์

✅ วิธีหลีกเลี่ยง:

  • ใช้ Screen Recording บันทึกทั้งการใช้งานและพฤติกรรมผู้ใช้ (เช่น Lookback, Zoom, Camtasia)
  • จด Observation Notes ขณะผู้ใช้ทำ Task เช่น
    • มีจุดไหนที่ผู้ใช้ใช้เวลานานกว่าปกติ?
    • มีจุดไหนที่ผู้ใช้กลับไปกลับมาหลายครั้ง?
    • ผู้ใช้พูดอะไรออกมาเองบ้างระหว่างทดสอบ?
  • หากเป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ใช้ กล้องจับสีหน้าผู้ใช้ เพื่อดูปฏิกิริยาเพิ่มเติม

5. สรุปผลเร็วเกินไป โดยไม่มี Data สนับสนุน

ปัญหา: การปรับ UX/UI โดยไม่มี Metrics ที่ชัดเจนมาสนับสนุน อาจทำให้ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด และอาจสร้างปัญหาใหม่ให้ผู้ใช้ เช่น

  • เปลี่ยนโครงสร้างเมนูใหม่ เพราะมีผู้ใช้บอกว่า “หาของไม่เจอ”
    • แต่ไม่ได้วัด Memorability → อาจเป็นเพราะผู้ใช้ยังไม่คุ้นเคยกับระบบ ไม่ใช่ปัญหาของดีไซน์
  • ลดจำนวนขั้นตอนเพื่อให้ UX ดีขึ้น
    • แต่ไม่ได้วัด Efficiency → อาจทำให้เร็วขึ้น แต่ถ้าผู้ใช้ทำผิดพลาดมากขึ้น อาจสร้าง Pain Point ใหม่
  • เพิ่ม Tooltip อธิบายการใช้งาน เพราะมีผู้ใช้บอกว่า “ไม่เข้าใจ”
    • แต่ไม่ได้วัด Learnability → ปัญหาอาจไม่ได้มาจากการขาดคำอธิบาย แต่อาจเกิดจาก UX ที่ออกแบบมาไม่ตอบโจทย์
  • เพิ่มปุ่ม Confirm ก่อนทำรายการสำคัญ เพราะกลัวว่าผู้ใช้จะกดพลาด
    • แต่ไม่ได้วัด Error Rate → อาจเพิ่ม Friction โดยไม่จำเป็น หากผู้ใช้แทบไม่เคยกดพลาดเลย
  • ปรับดีไซน์ใหม่ เพราะบางคนบอกว่า “ดูไม่น่าใช้”
    • แต่ไม่ได้วัด Satisfaction → อาจเป็นเพียงความคิดเห็นของบางคน ในขณะที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่พอใจกับดีไซน์เดิม

✅ วิธีหลีกเลี่ยง:

  • ใช้ 5 Metrics หลัก ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
    • Learnability: วัดว่าผู้ใช้ใหม่เรียนรู้วิธีใช้งานได้เร็วแค่ไหน
    • Memorability: ตรวจสอบว่าผู้ใช้ที่กลับมา ยังจำวิธีใช้งานได้หรือไม่
    • Efficiency: ดูว่า UX/UI ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานสำเร็จได้เร็วขึ้นหรือไม่
    • Error Rate: วัดข้อผิดพลาดของผู้ใช้ และระบบช่วยลดหรือแก้ไขได้ดีแค่ไหน
    • Satisfaction: ประเมินความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้
  • อย่าเร่งสรุปจาก Feedback ของผู้ใช้เพียงไม่กี่คน ควรวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยแก้ Pain Point ได้จริง

💡 เพียงแค่หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบก็จะมีความแม่นยำขึ้นแล้ว! 🚀

แจกเทคนิคการทำ Usability Testing จากตัวจริงในวงการ เรียนรู้การทดสอบการใช้งาน Web/App อย่างถูกวิธีและยังไม่พอ วันนี้เรายังเอาอีก 4 เทคนิคมาฝาก เพื่อให้การทำ Usability Testing มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีกขั้น 🎯✨

 


✔️ เทคนิคในการทำ Usability Testing ให้ได้ผล

เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับผลิตภัณฑ์ได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่แค่ให้ผู้ใช้ลองกดแล้วบันทึกข้อสังเกต แต่ต้องมีกระบวนการที่ชัดเจนเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปรับปรุงได้จริง

1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน (Define Clear Objectives)

การทดสอบที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจน อาจทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง ก่อนเริ่ม Usability Testing ควรถามตัวเองว่า

  • เรากำลังพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับอะไร?
  • จุดไหนของ UX/UI ที่อาจเป็นปัญหาหลัก (Pain Point)?
  • ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใดเป็นพิเศษ?

ตัวอย่างเป้าหมายที่ดี

  • ตรวจสอบว่าผู้ใช้สามารถสมัครสมาชิกได้ง่ายหรือไม่
  • ดูว่าผู้ใช้หาเมนูสำคัญบนเว็บเจอหรือเปล่า
  • วิเคราะห์ว่าขั้นตอนการชำระเงินซับซ้อนเกินไปหรือไม่

การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้การทดสอบมีทิศทางและได้ข้อมูลที่นำไปปรับปรุง UX/UI ได้จริง

2. ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย (Test with a Diverse Audience)

หากทดสอบเฉพาะกับทีมงานหรือลูกค้าปัจจุบัน ข้อมูลที่ได้อาจไม่สะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้จริง ดังนั้นเราจึงควรเลือกกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลายตั้งแต่ผู้ใช้ใหม่ด้วย เช่น

  • New Users
    → ดูว่าผู้ใช้ใหม่สามารถใช้งานได้ง่ายหรือไม่
  • Existing Users
    → ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลง UX มีผลกระทบอย่างไร
  • Target Audience
    → ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายจริง เช่น หากเป็น e-commerce ควรเลือกคนที่ชอปออนไลน์บ่อย
  • Tech-Challenged Users
    → ทดสอบกับผู้ใช้ที่ไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี เพื่อให้แน่ใจว่า UI ไม่ซับซ้อนเกินไป

3. “สังเกต” พฤติกรรม มากกว่า “ฟัง” คำตอบ (Observe, Don’t Just Ask)

บางครั้งผู้ใช้บอกว่า “เข้าใจ” แต่พฤติกรรมที่แสดงออกกลับตรงกันข้าม การสังเกตพฤติกรรมจึงสำคัญกว่าการฟังคำตอบ

สิ่งที่ควรสังเกต:

  • จุดที่ผู้ใช้ใช้เวลานานผิดปกติ
  • พฤติกรรมลังเล หรือพยายามกด Undo
  • การเคลื่อนไหวของ Mouse Cursor หรือการ Tap บน Mobile Screen
  • ท่าทาง เช่น ขมวดคิ้ว ถอนหายใจ หรือแสดงความสับสน

หากผู้ใช้บอกว่า “โอเค ใช้งานได้” แต่ยังคงหาปุ่มอยู่นาน → อาจแปลว่า UI ยังไม่ชัดเจนพอ

4. ไม่ต้องรอให้ Product เสร็จ 100% ก็เริ่ม Test ได้ (Test Early, Test Often)

การรอให้ Product เสร็จสมบูรณ์ก่อนทำการทดสอบ อาจทำให้แก้ไขปัญหา UX/UI ได้ยากและใช้ต้นทุนสูง ควรเริ่ม Usability Testing ตั้งแต่ต้น เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง

ตัวอย่างจุดที่สามารถเริ่มทดสอบได้

  • Sketch/Wireframe → ทดสอบ Layout และ Navigation
  • Clickable Prototype → ทดสอบ User Flow
  • Beta Version → ทดสอบ Performance และ Interaction จริง

การทดสอบตั้งแต่ระยะต้นช่วยให้แก้ UX/UI ได้ง่ายขึ้น แถมไม่ต้องมานั่งรื้อทำใหม่หลังจากเปิดตัว Product ไปแล้วอีกด้วย


💡 Skooldio Tips!

และถ้าอยากเรียนรู้เทคนิคเจาะลึกมากขึ้นกว่านี้ คอร์ส Usability Testing คือคำตอบ!

คอร์ส Usability Testing

คอร์สที่จะพาคุณไปรู้จักทุกแง่มุมของการทำ Usability Testing ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคขั้นสูง พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริงอย่างมืออาชีพ สอนโดยผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการ คุณฐาปนี ศรีสวัสดิ์ Lead Designer, Ahancer, อดีต UX Researcher, Traveloka

เหมาะสำหรับ

ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการพัฒนา Product เพิ่ม Conversion และออกแบบ UX ที่ดีขึ้น

  • UX/UI Designer & Researcher
  • Product Manager
  • Developer

แล้วคุณจะได้เรียนรู้ครบทุกเทคนิค แบบที่คัดมาแล้วว่าใช้ได้จริง!
เรียนจบสามารถนำไปทดลองทำเองได้เลย 😊


และสำหรับใครที่อยากได้รับมุมมองหรืออยากเพิ่มทักษะด้าน UX / UI ให้ครอบคลุมไปในทุกด้าน มาเริ่มต้นไปกับหลักสูตร UX/UI Bootcamp กว่า 8 สัปดาห์พาคุณเก็บครบพื้นฐานทั้ง Process ลงมือทำโปรเจกต์ รับ Coaching จากผู้เชี่ยวชาญ และนำเสนอผลงานในวัน Demo Day พร้อมกับเข้าร่วม Portfolio Mentoring Session

สุดท้ายนี้ ใครสนใจอยากได้รับบทความดี ๆ แบบนี้ส่งตรงถึงอีเมลคุณ ลงทะเบียนรับ Skooldio Newsletter ไว้ได้เลยวันนี้! เราจะส่งทุกสาระที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือที่กำลังฮิต หรือ เทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยม รวมไปถึง คอร์สใหม่ ๆ ที่จะช่วยอัปสกิลในด้านต่าง ๆ ทั้ง Soft Skills และ Hard Skills ตลอดจนโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่ไม่ควรพลาด คัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยทีมงาน Skooldio!

 

More in:Design

Comments are closed.