เคยมั้ย?? ออกแบบฟีเจอร์มาจัดเต็ม แต่ลูกค้าบอกใช้ไม่เป็นซะงั้น!?! 🫠
📣 มาทำความรู้จัก Usability Testing กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ Product ของเรา ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ผู้ใช้จริง! รับรองว่า Launch Product มาถูกใจลูกค้าแน่นอน 🫶🏻
Table of Contents
Usability Testing คืออะไร?
ทำไมสาย UX/UI และคนพัฒนา Product ต้องรู้ !?
Usability Testing คือ กระบวนการทดสอบความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use) ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยให้กลุ่มผู้ใช้ทดลองใช้จริง เพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาสามารถทำงานที่ต้องการได้อย่างราบรื่น พร้อมระบุจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้ UX/UI ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น
ทำไม Usability Testing ถึงสำคัญ?
- ช่วยค้นหาปัญหาการใช้งานก่อนเปิดตัว
→ ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะติดขัดและออกจากแพลตฟอร์ม - เพิ่มประสิทธิภาพ UX/UI
→ ปรับดีไซน์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้จริง - เพิ่ม Conversion และลด Drop-off Rate
→ ทำให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการที่สำคัญ เช่น สมัครสมาชิก หรือซื้อสินค้า ได้ง่ายขึ้น - ลดภาระงานฝ่าย Customer Support
→ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้น ลดคำถามจากผู้ใช้
ขั้นตอนสำคัญของ Usability Testing
1. กำหนดเป้าหมายของการทดสอบ
เป็นการระบุ “สิ่งที่ต้องการทราบ” และ “แนวทางการนำข้อมูลไปใช้” เพื่อปรับปรุง UX/UI อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น หากต้องการวิเคราะห์ปัญหาในขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า
เป้าหมายอาจเป็น “ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้ยกเลิกคำสั่งซื้อหรือไม่สามารถสั่งซื้อสำเร็จ” เพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการให้ราบรื่นยิ่งขึ้น
- ฟีเจอร์ไหนที่ผู้ใช้มีปัญหา?
- มีจุดไหนที่สร้างความสับสนให้ผู้ใช้?
- กระบวนการใช้งานมีอะไรที่ต้องปรับปรุง?
💡 Tip: การตั้งเป้าที่ชัดเจน จะช่วยให้เราทำการทดสอบได้ตรงจุด และได้ข้อมูลที่นำไปใช้งานได้จริง
2. คัดเลือกกลุ่มผู้ใช้ เพื่อมาทดสอบ
เลือกผู้ใช้ที่ตรงกับ Target Audience เพื่อให้ผลการทดสอบสะท้อนพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้จริง โดยใช้ User Screener เพื่อคัดกรอง เช่น:
- เป็นผู้ใช้เดิมที่เคยใช้งานมาก่อน หรือ ผู้ใช้ใหม่ที่เพิ่งใช้งานครั้งแรก?
- ใช้อุปกรณ์อะไรในการเข้าเว็บไซต์/แอปบ่อยที่สุด?
3. ออกแบบโจทย์และรูปแบบการทดสอบ (Task & Scenario)
ตัวอย่าง Task ที่ใช้ทดสอบ UX/UI
- “ลองสั่งซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งบนเว็บไซต์โดยใช้คูปองส่วนลด”
- “ค้นหาฟีเจอร์ [X] ในแอป แล้วลองใช้งานดู”
💡 Tip: ระวังการตั้งโจทย์ที่อาจจะมีคำใบ้ หรือคำตอบโดยที่ไม่ตั้งใจ ซึ่งจะส่งผลให้ user ทำได้เพราะมีคำใบ้นั้น
4. ทำการทดสอบ และเก็บข้อมูล
Usability Testing มีหลายประเภท เช่น
- Moderated Testing – มีผู้ดูแลคอยสอบถามและสังเกต
- Unmoderated Testing – ให้ผู้ใช้ทำแบบทดสอบเอง
- Remote Testing – ให้ผู้ใช้ทดสอบจากที่บ้านผ่าน Zoom หรือ Lookback
5. วิเคราะห์ผล และปรับปรุง UX/UI
วิเคราะห์จากข้อมูลต่าง ๆ เช่น
- Feedback ของผู้ใช้
- พฤติกรรมระหว่างทดสอบ
- จุดที่ทำให้ผู้ใช้สับสนหรือหลุดออกจาก Flow
💡 Tip: การจดและบันทึกผลอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การวิเคราะห์ผลง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การทำ Usability Test ช่วยวัดผลด้านไหนได้บ้าง?
1. Learnability (ความง่ายในการเรียนรู้)
เป็นการวัดว่าผู้ใช้เรียนรู้วิธีใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและรวดเร็วแค่ไหน โดยส่วนมากจะวัดเวลาและความสำเร็จในการให้ user ทดลองใช้งาน Feature นี้เป็นครั้งแรก
2. Memorability (ความง่ายในการนึกถึงวิธีใช้งาน)
ปัจจัยนี้สำคัญมากสำหรับ Product ที่อาจไม่ได้ใช้งานบ่อย เช่น แอปที่ผู้ใช้เปิดเป็นครั้งคราว หรือแพลตฟอร์มที่ต้องใช้เป็นระยะ ๆ การวัดผลในส่วนนี้ช่วยให้เราทราบว่า เมื่อผู้ใช้กลับมาใช้งานอีกครั้ง พวกเขาสามารถจดจำวิธีใช้งานได้ง่ายแค่ไหน หากระบบมี Memorability ที่ดี ผู้ใช้จะไม่ต้องเสียเวลาศึกษาใหม่ ,ลดการอ่านคู่มือ, การติดต่อ call center และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด และทำให้ประสบการณ์การใช้งานราบรื่นยิ่งขึ้น
3. Efficiency (ประสิทธิภาพที่ User สามารถทำงานได้สำเร็จ)
ผู้ใช้สามารถทำงานที่ต้องการได้สำเร็จอย่างรวดเร็วและแม่นยำแค่ไหน ซึ่งเราจะวัดจากเวลาที่ใช้ในการทำงานต่างๆ จำนวนคลิก หรือขั้นตอนที่ต้องทำ และอัตราความสำเร็จในการทำงาน
4. Error (การป้องกันไม่ให้ User ทำพลาด หรือสามารถกลับมาแก้ไขได้เมื่อเจอปัญหา)
ปัจจัยนี้วัดว่า ระบบสามารถช่วยลดข้อผิดพลาดของผู้ใช้ได้ดีแค่ไหน และเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ผู้ใช้สามารถแก้ไขได้ง่ายหรือไม่ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อกรอกข้อมูลผิด หรือมีคำแนะนำ/วิธีให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขได้ง่าย เช่น ปุ่ม Undo เป็นต้น ซึ่งระบบที่ดีควรช่วยให้ผู้ใช้ทำผิดพลาดน้อยลงและแก้ไขได้โดยไม่ยุ่งยาก
5. Satisfaction (ความพึงพอใจโดยรวมจากการใช้งาน User มีประสบการณ์ที่ดีหรือไม่)
ผู้ใช้รู้สึกพึงพอใจกับการใช้งานผลิตภัณฑ์โดยรวมหรือไม่ พวกเขาคิดว่าผลิตภัณฑ์ใช้งานง่าย สะดวก และตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาหรือไม่ เราสามารถวัดความพึงพอใจได้จากแบบสอบถาม ความคิดเห็น รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ใช้
หลังจากการ Test และวิเคราะห์ผลตามแต่ละ Metric แล้ว
เราจะสามารถระบุปัญหา และลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนในการแก้ไข ตามระดับความรุนแรงของปัญหาได้
ระดับความรุนแรงของปัญหา
1. Stopper 🔥🔥🔥🔥– ปัญหาระดับร้ายแรงสุด **ต้องแก้ไขทันที**
ถ้าผู้ใช้พบเจอปัญหานี้ จะไม่สามารถใช้งานต่อได้เลย ต้องหยุด หงุดหงิด หรืออาจเลิกใช้ไปเลย ปัญหาประเภทนี้ต้องได้รับการแก้ไขทันที ก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์
เช่น ปุ่มสำคัญกดไม่ได้ ระบบล่ม หรือข้อมูลที่จำเป็นไม่โหลดขึ้นมา
2. Major 🔥🔥🔥– ปัญหาระดับสำคัญที่ต้องรีบแก้
ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานต่อได้ แต่มีอุปสรรค ต้องใช้เวลามากขึ้นหรืออาจต้องหาวิธีแก้ไขเอง ปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขเร็วที่สุด เพราะอาจส่งผลต่อประสบการณ์ใช้งานและลดความพึงพอใจ
เช่น ฟอร์มที่กรอกข้อมูลแล้วขึ้น Error บ่อย หรือกระบวนการ Checkout ที่ซับซ้อนเกินไป
3. Minor 🔥🔥– ปัญหาระดับเล็กที่ไม่รบกวนการใช้งานมาก
ปัญหานี้อาจทำให้ผู้ใช้ชะงักไปบ้าง แต่ยังสามารถดำเนินการต่อได้ ปกติแล้วสามารถรอการแก้ไขได้ในอัปเดตถัดไป
เช่น ปุ่มที่ตำแหน่งคลาดเคลื่อน หรือข้อมูลที่อ่านยากเล็กน้อย
4. Cosmetic 🔥– ปัญหาด้านความพึงพอใจที่ไม่ส่งผลต่อการใช้งาน
ผู้ใช้ยังใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของระบบ อาจเป็นเรื่องของดีไซน์ สี หรือไอคอนที่ดูไม่สมบูรณ์แบบ สามารถค่อย ๆ ปรับปรุงในอนาคตได้
เช่น ฟอนต์ไม่ตรงกับแบรนด์ หรือไอคอนดูไม่สอดคล้องกัน
❌ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Usability Testing
1. เลือกผู้เข้าทดสอบผิดกลุ่ม
ปัญหา: หากเลือกกลุ่มผู้เข้าทดสอบที่ไม่ตรงกับ Target Audience ของผลิตภัณฑ์ อาจทำให้ได้ Feedback ที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งานจริง และไม่สามารถนำไปพัฒนา Product ต่อได้ ตัวอย่างเช่น
- ทดสอบแอป E-commerce สินค้ามือ 2 แต่ใช้กลุ่มผู้ทดสอบที่ไม่ชอบสินค้ามือ 2
- ทดสอบระบบ CRM แต่ใช้กลุ่มผู้ทดสอบที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานด้าน Sales หรือ Marketing
- ทดสอบแอปฟิตเนส ว่าสมาชิกจองคอร์สได้ง่ายไหม แต่ใช้กลุ่มผู้ทดสอบที่เป็นคนเล่นกีฬาทั่วไป มาแทน
✅ วิธีหลีกเลี่ยง:
- ใช้ User Screener เพื่อคัดกรองผู้เข้าร่วมให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- ระบุ Persona ของผู้ใช้ที่ต้องการทดสอบ ให้ชัดเจน เช่น อายุ, ประสบการณ์ใช้งาน, ความถี่ในการใช้ผลิตภัณฑ์
- มีเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน เช่น ผู้ใช้ต้องเคยใช้แอปประเภทนี้ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
2. ถามคำถามชี้นำ (Leading Questions)
ปัญหา: คำถามชี้นำ คือคำถามที่มีคำพูดเชิงโน้มน้าว และอาจทำให้ผู้ใช้ตอบตามที่เราต้องการ ทำให้ผลลัพธ์เอนเอียง หรือไม่เป็นกลางได้ เช่น
- “ปุ่มนี้ใช้งานง่ายใช่ไหม?” → เป็นการบอกเป็นนัยว่าปุ่มนี้ควรใช้งานง่าย
- “คุณชอบฟีเจอร์ใหม่นี้ไหม?” → อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะให้ Feedback เชิงลบ
- “คุณคิดว่า UI นี้สวยหรือเปล่า?” → คำว่า “สวย” เป็นความคิดเห็นของนักออกแบบ ไม่ใช่ความคิดเห็นที่มาจากฝั่งของผู้ใช้
✅ วิธีหลีกเลี่ยง:
- ใช้คำถาม ปลายเปิด (Open-ended Questions) เช่น
- “คุณสามารถหาฟีเจอร์นี้เจอได้อย่างไร?”
- “คุณคาดหวังให้ปุ่มนี้ทำงานอย่างไร?”
- “มีอะไรที่ทำให้คุณสับสนระหว่างการใช้งานไหม?”
- “ถ้าคุณต้องการสมัครสมาชิก คุณจะเริ่มจากตรงไหน?”
- “ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับราคาดูหน่อย”
- “เล่าให้ฟังว่าขั้นตอนการชำระเงินนี้รู้สึกอย่างไร?”
- เน้น สังเกตพฤติกรรมผู้ใช้มากกว่าคำตอบ เพราะบางครั้งผู้ใช้ตอบว่า “เข้าใจ” แต่จริง ๆ แล้วใช้งานผิด
3. ให้ข้อมูลมากเกินไปก่อนเริ่มทดสอบ
ปัญหา: หากอธิบายวิธีใช้งานมากเกินไป ก่อนเริ่มการทดสอบ อาจทำให้ผู้ใช้ ไม่แสดงพฤติกรรมการใช้งานจริงตามธรรมชาติ เช่น
- บอกว่า ปุ่มเมนูอยู่ตรงไหน: ทำให้ผู้ใช้ไม่ได้หาปุ่มเอง ทำให้ไม่เห็นปัญหาการใช้งานจริง
- บอกว่า ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่ออะไร: ผู้ใช้จะเข้าใจและพยายามใช้งานตามที่นักวิจัยคาดหวัง
✅ วิธีหลีกเลี่ยง:
- ให้ผู้ใช้สำรวจระบบด้วยตนเองก่อนเริ่มทดสอบ
- ใช้คำถามแบบ Task-based เช่น “ลองค้นหาวิธีเปลี่ยนรหัสผ่าน” โดยไม่บอกว่าฟีเจอร์อยู่ตรงไหน
- ถ้าจำเป็นต้องให้คำแนะนำ ให้ใช้คำอธิบายที่เป็นกลาง เช่น “ลองใช้แอปนี้เหมือนที่คุณใช้งานแอปอื่น ๆ ดูนะ”
4. ไม่ได้บันทึกพฤติกรรมการใช้งานจริง
ปัญหา: หากพึ่งพาแค่ความจำของนักวิจัย อาจทำให้พลาดรายละเอียดสำคัญ เช่น
- ผู้ใช้มีสีหน้าหรือท่าทางสับสนในบางจุด แต่ไม่ได้จดบันทึก
- ลืมว่าผู้ใช้ทำผิดพลาดตรงไหนระหว่าง Task
- ไม่มีหลักฐานประกอบการวิเคราะห์
✅ วิธีหลีกเลี่ยง:
- ใช้ Screen Recording บันทึกทั้งการใช้งานและพฤติกรรมผู้ใช้ (เช่น Lookback, Zoom, Camtasia)
- จด Observation Notes ขณะผู้ใช้ทำ Task เช่น
- มีจุดไหนที่ผู้ใช้ใช้เวลานานกว่าปกติ?
- มีจุดไหนที่ผู้ใช้กลับไปกลับมาหลายครั้ง?
- ผู้ใช้พูดอะไรออกมาเองบ้างระหว่างทดสอบ?
- หากเป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ใช้ กล้องจับสีหน้าผู้ใช้ เพื่อดูปฏิกิริยาเพิ่มเติม
💡 เพียงแค่หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบก็จะมีความแม่นยำขึ้นแล้ว! 🚀
และยังไม่พอ วันนี้เรายังเอาอีก 4 เทคนิคมาฝาก เพื่อให้การทำ Usability Testing มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีกขั้น 🎯✨
✔️ เทคนิคในการทำ Usability Testing ให้ได้ผล
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับผลิตภัณฑ์ได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่แค่ให้ผู้ใช้ลองกดแล้วบันทึกข้อสังเกต แต่ต้องมีกระบวนการที่ชัดเจนเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปรับปรุงได้จริง
1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน (Define Clear Objectives)
การทดสอบที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจน อาจทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง ก่อนเริ่ม Usability Testing ควรถามตัวเองว่า
- เรากำลังพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับอะไร?
- จุดไหนของ UX/UI ที่อาจเป็นปัญหาหลัก (Pain Point)?
- ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใดเป็นพิเศษ?
ตัวอย่างเป้าหมายที่ดี
- ตรวจสอบว่าผู้ใช้สามารถสมัครสมาชิกได้ง่ายหรือไม่
- ดูว่าผู้ใช้หาเมนูสำคัญบนเว็บเจอหรือเปล่า
- วิเคราะห์ว่าขั้นตอนการชำระเงินซับซ้อนเกินไปหรือไม่
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้การทดสอบมีทิศทางและได้ข้อมูลที่นำไปปรับปรุง UX/UI ได้จริง
2. ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย (Test with a Diverse Audience)
หากทดสอบเฉพาะกับทีมงานหรือลูกค้าปัจจุบัน ข้อมูลที่ได้อาจไม่สะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้จริง ดังนั้นเราจึงควรเลือกกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลายตั้งแต่ผู้ใช้ใหม่ด้วย เช่น
- New Users
→ ดูว่าผู้ใช้ใหม่สามารถใช้งานได้ง่ายหรือไม่ - Existing Users
→ ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลง UX มีผลกระทบอย่างไร - Target Audience
→ ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายจริง เช่น หากเป็น e-commerce ควรเลือกคนที่ชอปออนไลน์บ่อย - Tech-Challenged Users
→ ทดสอบกับผู้ใช้ที่ไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี เพื่อให้แน่ใจว่า UI ไม่ซับซ้อนเกินไป
3. “สังเกต” พฤติกรรม มากกว่า “ฟัง” คำตอบ (Observe, Don’t Just Ask)
บางครั้งผู้ใช้บอกว่า “เข้าใจ” แต่พฤติกรรมที่แสดงออกกลับตรงกันข้าม การสังเกตพฤติกรรมจึงสำคัญกว่าการฟังคำตอบ
สิ่งที่ควรสังเกต:
- จุดที่ผู้ใช้ใช้เวลานานผิดปกติ
- พฤติกรรมลังเล หรือพยายามกด Undo
- การเคลื่อนไหวของ Mouse Cursor หรือการ Tap บน Mobile Screen
- ท่าทาง เช่น ขมวดคิ้ว ถอนหายใจ หรือแสดงความสับสน
หากผู้ใช้บอกว่า “โอเค ใช้งานได้” แต่ยังคงหาปุ่มอยู่นาน → อาจแปลว่า UI ยังไม่ชัดเจนพอ
4. ไม่ต้องรอให้ Product เสร็จ 100% ก็เริ่ม Test ได้ (Test Early, Test Often)
การรอให้ Product เสร็จสมบูรณ์ก่อนทำการทดสอบ อาจทำให้แก้ไขปัญหา UX/UI ได้ยากและใช้ต้นทุนสูง ควรเริ่ม Usability Testing ตั้งแต่ต้น เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
ตัวอย่างจุดที่สามารถเริ่มทดสอบได้
- Sketch/Wireframe → ทดสอบ Layout และ Navigation
- Clickable Prototype → ทดสอบ User Flow
- Beta Version → ทดสอบ Performance และ Interaction จริง
การทดสอบตั้งแต่ระยะต้นช่วยให้แก้ UX/UI ได้ง่ายขึ้น แถมไม่ต้องมานั่งรื้อทำใหม่หลังจากเปิดตัว Product ไปแล้วอีกด้วย
💡 Skooldio Tips!
และถ้าอยากเรียนรู้เทคนิคเจาะลึกมากขึ้นกว่านี้ คอร์ส Usability Testing คือคำตอบ!
คอร์สที่จะพาคุณไปรู้จักทุกแง่มุมของการทำ Usability Testing ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคขั้นสูง พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริงอย่างมืออาชีพ สอนโดยผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการ คุณฐาปนี ศรีสวัสดิ์ Lead Designer, Ahancer, อดีต UX Researcher, Traveloka
เหมาะสำหรับ
ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการพัฒนา Product เพิ่ม Conversion และออกแบบ UX ที่ดีขึ้น
- UX/UI Designer & Researcher
- Product Manager
- Developer
แล้วคุณจะได้เรียนรู้ครบทุกเทคนิค แบบที่คัดมาแล้วว่าใช้ได้จริง!
เรียนจบสามารถนำไปทดลองทำเองได้เลย 😊
และสำหรับใครที่อยากได้รับมุมมองหรืออยากเพิ่มทักษะด้าน UX / UI ให้ครอบคลุมไปในทุกด้าน มาเริ่มต้นไปกับหลักสูตร UX/UI Bootcamp กว่า 7 สัปดาห์พาคุณเก็บครบพื้นฐานทั้ง Process ลงมือทำโปรเจกต์ รับ Coaching จากผู้เชี่ยวชาญ และนำเสนอผลงานในวัน Demo Day พร้อมกับเข้าร่วม Portfolio Mentoring Session
สุดท้ายนี้ ใครสนใจอยากได้รับบทความดี ๆ แบบนี้ส่งตรงถึงอีเมลคุณ ลงทะเบียนรับ Skooldio Newsletter ไว้ได้เลยวันนี้! เราจะส่งทุกสาระที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือที่กำลังฮิต หรือ เทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยม รวมไปถึง คอร์สใหม่ ๆ ที่จะช่วยอัปสกิลในด้านต่าง ๆ ทั้ง Soft Skills และ Hard Skills ตลอดจนโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่ไม่ควรพลาด คัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยทีมงาน Skooldio!