ขณะที่เราพูดถึงภาวะคนทำงานยุคปัจจุบันพากัน Burnout เหนื่อยหน่ายหมดใจ ข้ามไปมองฝั่งขององค์กรที่หลายครั้งกลับได้ผลลัพธ์น้อยลง สวนทางความกดดันจากการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน.. ” นี่อาจจะเป็นเรื่องความเจ็บปวดของ Project Management ที่คนทำงานและองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญร่วมกันอยู่ “
บน Digital Transformation Stage จากงาน Techsauce Global Summit 2023 ได้มีการเล่าถึง The Future of Work Management โดย Kush Jain – GTM Partnerships Lead, ASIA – Smartsheet
เริ่มต้นด้วยตัวเลขที่น่าตกใจ จาก survey และการสัมภาษณ์คนทำงานมากกว่า 9,000 คน จาก 9 อุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน พบว่า..
“80% ของคนที่ทำ project management บอกว่าจริงๆ แล้วงานของพวกเขา ไม่ได้ทำเกี่ยวกับ project management เลย!”
จากข้อมูลสามารถนิยามแบ่ง ประเภทคนที่เป็น ‘Project Manager’ ออกเป็น 3 กลุ่มได้ ดังนี้
- Project Manager โดยตำแหน่ง (Titled Project Manager) ถูกแต่งตั้งขึ้นมา หรือถูกเลื่อนขั้น พวกเขาอาจจะเก่ง หรือเพราะทำงานมานาน
- Project Manager โดยความคาดหวัง (Expected Project Manager) คนพวกนี้คือคนที่หัวหน้าชอบโยนงาน manage ให้ทำ แม้จะไม่ใช่โดยตำแหน่งก็ตาม แต่เป็นโดยความสามารถ หรือโดยความรับผิดชอบที่ใกล้เคียง
- Project Manager จำเป็น (Citizen Project Manager) ทำเพราะมันจำเป็นต้องทำ ทำเพราะต้องมีคนทำ ไม่งั้นไม่มีใครทำ
เรื่องที่ ‘เจ็บปวดร่วมกัน’ ของ Project Manager 3 กลุ่มนี้ ได้แก่
- ต้องโดนย้ายทีม ย้ายโปรเจกต์บ่อยครั้ง
- ปัญหาการสื่อสารระหว่างทีม
- ลูกทีมถูกย้ายทีม หรือลูกทีมลาออก
และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ก็คือ..
- หงุดหงิด 58%
- Burnout 31%
- โกรธ 26%
- อึดอัดใจ 27%
- เบื่อหน่าย เฉื่อยชา 25%
‘สาเหตุ และแนวทางการแก้ปัญหา’ สำหรับงาน Project Management ได้แก่
-
“ระบบการทำงานในองค์กร” คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด
เวลาเราถูกมอบหมายให้ทำงาน สามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
- ช่วงแรก หรือ ช่วงที่เราได้รับมอบหมายงาน
- ช่วงกลาง คือช่วงที่เราต้องทำงานนั้น ๆ จริง ๆ
- ช่วงท้าย หรือ Deadline
องค์กรส่วนใหญ่มักจะใส่แรงกายและใจไปที่ช่วงท้าย หรือ deadline ซึ่งทำให้คนทำงานถูกคาดหวังให้ทำงานเยอะกว่าจำเป็นบ่อยครั้ง
ซึ่งจริงๆ แล้ว ช่วงการทำงานที่สำคัญที่สุดไม่ควรเป็นช่วงท้าย แต่ควรเป็น ‘ช่วงกลาง’ เป็นจุดที่เกิดการวางแผน, การร่วมมือ, และการสื่อสารสูงที่สุด เป็นจุดที่คนทำงานสามารถสร้าง impact ต่อองค์กรสูงสุด และเป็นจุดที่เกิดการผิดพลาดสูงสุดเช่นกัน..
ตัวอย่างความผิดพลาด เช่น
- ทำงานซ้ำซ้อนกับคนอื่น 40%
- ทำงานไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ, ทำงานที่ไม่มี impact 37%
- การอัพเดทข้อมูลที่ล่าช้า 22%
- บริษัทควรปรับให้การทำงานช่วงกลางเป็นไปได้อย่างลื่นไหล และ มี impact ที่สุด
- หา workflow, framework ที่เหมาะสมกับองค์กร
- แบ่งงาน และสื่อสารระหว่างบุคคลให้ชัดเจนและถูกต้อง
ถ้าวิธีการทำงานราบรื่น ผลและคุณภาพความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ผลสุดท้ายคือทีมแฮปปี้ งานดี องค์กรปัง
-
ทีมที่สร้างผลลัพธ์ที่สำเร็จและดีได้ จำเป็นต้องใช้ resource และเครื่องมือ
บ่อยครั้งที่ผู้บริหาร หรือผู้นำองค์กรไม่เข้าใจว่างานจริงๆ ที่มอบหมายให้คนทำงานทำ จำเป็นต้องใช้ resource และ tools มากกว่าที่พวกเขาคาดคิด
มีช่องว่างใหญ่มากในเรื่องการเข้าใจวิธีการทำงานระหว่างผู้นำองค์กรและมนุษย์ทำงาน ยกตัวอย่างเช่น มี task ที่มีปัญหาเรื่อง resource ด้านคนที่ต้องใช้มากกว่า 40% ของคนทำงานที่อยู่กับโปรเจกต์นั้นๆ ชี้แจ้งว่างโปรเจกต์นี้ขาด resource ด้านคน คนไม่พอ!
ในขณะที่ผู้นำองค์กรน้อยกว่า 20% ที่เห็นด้วยตรงกันว่า เออ มันคนไม่พอจริงๆ !!
-
โปรเจกต์จะแข็งแรง ตามระบบงานที่ใช้ทำโปรเจกต์นั้น ๆ
องค์กรและบริษัทสามารถเสริมวิธีการทำงานให้ effective มากขึ้นได้ด้วยระบบ automation
ระบบ automation จะช่วยทำให้ระบบการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น และสามารถทำซ้ำได้มากขึ้น เพื่อความสำเร็จระยะยาวขององค์กร การทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ key to success
กล่าวโดยสรุป จากการ survey บ่งชี้ว่า 91% ของคนทำงานกล่าวว่าองค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่มีปัญหาเรื่องการจัดการบริหาร
ซึ่งวิธีเดียวที่เราจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ คือ เริ่มจากตัวของเราเอง คุยกับหัวหน้าของเรา ชี้แจ้งปัญหา สื่อสารให้ชัด เพื่อหาทางแก้ร่วมกัน
3 สิ่งที่ควรจำให้ขึ้นใจ มีดังนี้ :
- ใส่ใจเรื่องวิธีการทำงานให้มาก (ช่วงกลาง) มากกว่าผลลัพธ์และ deadline
- ลงทุนกับเทคโนโลยีที่ใช่ เช่นระบบ automation เพื่อช่วยทำให้ระบบการทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก
- ลองก้าวออกจาก safe-zone กล้าที่จะลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อที่องค์กรของเราจะได้ก้าวทะยานไปได้ทันโลก
==============================
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร ด้วย Framework ในการทำงานปรับตัวได้ทันความเปลี่ยนแปลง และ Framework ที่จะช่วยในการตั้งเป้าหมาย และขับเคลื่อนคนทั้งองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นสองแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Google, Meta (Facebook) หรือ Netflix นั่นคือ Agile และ OKRs
อัปสกิลคู่สุดคุ้มกับผู้สอนที่มีประสบการณ์จริงจากองค์กรระดับโลกอย่าง Google และ Facebook ในคอร์สแพ็ก New Ways of Working: Agile & OKRs เหลือเพียง 3,580 บาท จาก 3,980 >> https://to.skooldio.com/rV4iegs0kCb