เมื่อเรื่องเงินและสวัสดิการไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการเลือกที่ทำงานอีกต่อไป กลายเป็นเรื่องของ “ชีวิต” และ “หัวหน้า” เข้ามาแทนที่ จะทำอย่างไรให้สามารถสร้างองค์กรที่มี Team lead ที่แข็งแกร่งและดึง Talent เหล่านี้ไว้ได้ โดย Value องค์กรที่ดีให้เริ่มจากตัวเราเอง นั่นคือ Personal Value ของผู้บริหาร เพราะมันจะสะท้อนถึงองค์กรได้ชัดที่สุด
คนทำงาน ‘ลาออก’ เพราะหัวหน้าถึง 70% ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหยุดเริ่มจากการหาว่าลูกน้องแบบไหนที่เราอยากได้ในยุคนี้ แล้วหันมาเสาะหาว่า “ผู้นำแบบนี้แหละที่ลูกน้องต้องการ”
ดังนั้น นี่คือ 5 เช็คลิสต์ของคุณค่าและ Mindset ที่ผู้นำยุคนี้ต้องมี
Table of Contents
- 1. Cross-functional working: เพราะงานยุคนี้ทำกันแค่แผนกเดียวไปไม่รอด
- 2. Lifelong Learning Mindset: ต้องได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวัน
- 3. Give&Take Feedback: หมดยุคของคำว่า “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน”
- 4. Technology Skill: เก็บทุกเทรนด์ของเทคโนโลยีอย่าให้อายลูกน้อง
- 5. Common sense on people: ดูคนให้เป็น
1. Cross-functional working: เพราะงานยุคนี้ทำกันแค่แผนกเดียวไปไม่รอด
การทำงานในทุกวันนี้ต้องอาศัยความเร็วเพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของลูกค้า แต่ปัญหาหลักที่หลาย ๆ องค์กรเจอคือ “ทักษะการทำงานร่วมกัน”
คุณแท็ปเล่าว่าเขาก็เจอปัญหานี้เช่นกัน คือการตีกันระหว่างฝ่ายหนึ่งกับอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นผู้นำต้องสามารถเป็น Connector ที่ดีในองค์กรได้และแนะนำให้พนักงานอาจจะลองสลับงานกัน หรือ Cross-silo ดู เพื่อให้เกิดความเข้าใจ role ซึ่งกันและกัน และมันจะแก้ปัญหาการไม่เข้าใจกันระหว่างทำงานได้
ดังนั้นทักษะที่ผู้นำต้องเริ่มมีก่อน คือ Project Management สามารถวางแผนการดำเนินการโครงการให้สำเร็จ และ Problem Solving เป็นคนที่สามารถแก้ปัญหาได้
2. Lifelong Learning Mindset: ต้องได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวัน
คุณแท็ปเริ่มต้นด้วยการเท้าความก่อนว่าที่ผ่านมาเขาอยู่ในยุค Traditional Marketing เพราะฉะนั้นการจะออก Product สักอย่างจะถูกเริ่มต้นจากการทำ Market Research และมีผู้บริหารประมาณ 10 คนนั่งเคาะ แล้วก็ภาวนารอดู result อีก 4 เดือน แต่ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการลูกค้าได้ทันที ทั้งจาก Ads หรือการทำ AB Testing
เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้คือเรื่องใหม่ทั้งหมด ดังนั้น เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เราสามารถเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ได้ทุกวัน ต้องคิดว่าอยากเสริมสกิลด้านไหนที่จำเป็นต้องใช้ แล้วเรียนเรื่องนั้นให้เยอะ โฟกัสแค่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ
3. Give&Take Feedback: หมดยุคของคำว่า “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน”
ให้เริ่มจากการตั้งคำถามว่าคุณสร้าง Envioronment ที่ทำให้ทุกคนกล้าพูด Feedback จริง ๆ หรือเปล่า
แล้วตั้ง 3 ข้อนี้ Start Stop Continue : Start คือสิ่งที่ยังไม่ได้ทำแต่อยากให้เขาทำ ส่วน Stop คือวันนี้เขาทำอยู่อยากให้เขาหยุดทำ และ Continue คือเขาทำมาดีอยู่แล้วอยากให้เขาทำต่อไป
สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด คือการฟัง Feedback ไปทำงานไป ให้ตั้งใจฟังเขา และห้ามสวนเวลาลูกน้องให้ Feedback จงนิ่ง ๆ ใจเย็นก่อน บางทีคุณอาจโมโหตอนได้ยิน แต่เมื่อกลับไปคิด คุณอาจจะขอบคุณเขาที่กล้าพูดกับคุณ
สุดท้ายให้แยก Noise กับ Feedback ให้เป็น เพราะ Noise คืออะไรที่บ่น พูดไปเรื่อย แต่ Feedback คืออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคุณจริง
4. Technology Skill: เก็บทุกเทรนด์ของเทคโนโลยีอย่าให้อายลูกน้อง
สอดคล้องกับเรื่องของ Lifelong learning ปัจจุบัน AI มีหลายอย่างมาก ๆ ซึ่งมันช่วยลดเวลาหรือลด Cost การทำงานได้จริง อย่าง ChatGPT แล้วมันจะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นผู้นำควรเริ่มปรับมุมมองเรื่องเทคโนโลยีใหม่และหันมาโฟกัส เรียนรู้เพื่อ “ปรับตัวให้เข้ากับมัน” อย่างจริงจัง
“หัวหน้าที่ดีต้องไม่เป็นภาระกับลูกน้อง ให้เขาต้องมาอธิบายทุกเรื่องให้เราฟังอีกที เพื่อให้เรามีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ”
5. Common sense on people: ดูคนให้เป็น
หัวข้อที่ดูจะง่ายที่สุด แต่ความจริงเมื่อเทียบกับ 4 Checklist ที่เหลือกลับยากที่สุดคือเรื่องการดูคนเพื่อสัมภาษณ์หาคนที่ “เหมาะสม” กับองค์กรภายในเวลาแค่ 1-2 ชั่วโมงที่สัมภาษณ์
คุณแท็ปกล่าวแนะนำให้อ่านศาสตร์ที่เกี่ยวกับ Behavioural Science เยอะ ๆ เพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของคน แล้วมาดูว่าวิธีการคิดแบบนี้มันเวิร์กมั้ย เข้ากับองค์กรเราหรือเปล่า หรือท่าที่ง่ายสุด ๆ คือ ให้ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มองคนมาเยอะกว่าเราเป็นผู้ช่วยเราอีกแรง และเก็บประสบการณ์จากเขา และในวันหนึ่งเราจะสามารถดูคนได้เก่งแบบเขาเอง
สุดท้าย คุณแท็ปได้ปิดท้ายว่า “ถ้าอยากจะ serve ลูกค้าได้ดี ต้องเป็นหัวหน้าที่พนักงาน happy ด้วยก่อน”