Front End Developer

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมอาชีพ Back End Developer นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้รับผิดชอบในส่วนด้านหลัง หรือส่วนระบบการทำงานเบื้องหลังของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน จึงเป็นอาชีพยอดนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาชีพนี้คืออะไร ทำหน้าที่อะไรกันนะ

บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Back-End Developer เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่คำว่า Back End คืออะไร? Back End Developer คือใคร มีหน้าที่อะไรบ้าง? ทักษะที่ต้องมี และแนะนำการเตรียมตัวสมัครงานตำแหน่ง Back End Developer พร้อมวิธีทำ Resume สุดปัง พร้อมให้ผู้ที่สนใจสามารถประยุกต์ใช้ได้ทันที

ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย

Back End คืออะไร

Back End คือ ระบบจัดการเว็บไซต์ หรือที่หลาย ๆ คนเรียกกันว่า “หลังบ้าน” ซึ่งส่วนหลักของ Back End จะเป็นระบบฐานข้อมูล (Database) ที่ใช้เก็บข้อมูล และเซิร์ฟเวอร์ (Server) ที่ใช้จัดการกับการส่งคำขอ (Request) และการตอบกลับ (Response) รวมถึงการประมวลผล และจัดการข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน

ในการพัฒนาเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน นอกจากในส่วนของ Back End แล้ว ยังมีส่วน Front End ที่เป็นส่วนของหน้าตาเว็บไซต์ การทำสีสัน และการตอบสนองกับผู้ใช้งาน หรือที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันว่า “หน้าบ้าน” อีกด้วย ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ก็จะมีการทำงานที่ควบคู่กันไป


Back End Developer คือใคร

Back End Developer คือ ผู้พัฒนาเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันที่รับผิดชอบในการพัฒนาส่วนของระบบหลังบ้าน โดยสร้าง และควบคุมดูแลระบบที่ทำงานภายในเว็บไซต์ (หรือก็คือในส่วน Back End นั่นแหละ) เช่น การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล, การจัดการกับข้อมูลผู้ใช้, การสร้างฟังก์ชันการทำงานต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงตามที่ออกแบบไว้


หน้าที่ของ Back End Developer

อย่างที่เล่าไป Back End Developer มีหน้าที่พัฒนาเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันในส่วนหลังบ้านเป็นหลัก แต่เพื่อให้ละเอียดมากขึ้น อยากให้ทุกคนเห็น Job Description ของอาชีพนี้ที่รวบรวมมาจากหลาย ๆ บริษัท

  • รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล นำมาสร้าง Code เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำเสนอจุดที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้
  • ทำงานร่วมกับ Front End Developer และทีมอื่น ๆ เพื่อสร้าง Product ที่ตรงตามความต้องการ ด้วย Code ที่มีคุณภาพ ช่วยยกระดับมาตรฐานการทำงานของทีม และทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ดีมากขึ้น
  • นำเสนอไอเดียสำหรับ Product หรือ Feature ใหม่ ๆ โดยดูจาก Trend ที่เกิดขึ้น
  • พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เรียนรู้ทักษะ ภาษา ใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน และนำความรู้มาช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม
  • เป็นผู้นำในโปรเจคต์ หากจำเป็น

อาจมีหน้าที่ และความรับผิดชอบที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อยตามแต่ละบริษัท เช่น บางบริษัท Back End Developer อาจต้องทำหน้าที่แทน DevOps Engineer ด้วย ดังนั้นทุกคนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจสมัครงานนะครับ


ทักษะที่ Back End Developer ควรมี

Back End Developer ที่ดี ควรมีทักษะทั้งในด้าน Hard Skill เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบของเว็บไซต์ให้เป็นไปตามที่ออกแบบไว้ และ Soft Skill เพื่อเสริมการทำงานหลักให้สามารถเป็นไปได้ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Hard Skill

ทักษะการใช้ Back End Language

การพัฒนาซอฟต์แวร์ ย่อมจำเป็นต้องใช้การเขียนโค้ด ดังนั้นความสามารถในการเขียนโค้ดจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยมีภาษา Programming ที่นิยม แต่การเลือกใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละองค์กร โปรเจกต์ หรือสถานการณ์ จึงควรรู้จักว่าภาษาที่ผู้พัฒนา Back End นิยมใช้กันมีอะไรบ้าง ดังนี้

C#

C# เป็นภาษาที่ใช้ในหลากหลายจุดประสงค์ ซึ่งมักจะใชักับ .NET Library เพื่อใช้ออกแบบโครงสร้างภายในของเว็บไซต์ และเชื่อมการใช้งานของผู้ใช้กับระบบ โดย C# เป็นภาษาที่ค่อนข้างเสถียร และยืดหยุ่น จึงเป็นภาษาที่ Developer หลายคนเลือกใช้

Go

Go หรือ Golang เป็นภาษา Programming แบบ Open-Source มีจุดเด่นในเรื่องของ Performance ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วเทียบกับภาษาอื่น ๆ และเน้นความง่ายในการเขียนและการอ่าน และยังสามารถทำ Concurrent Programming ได้ง่าย เพราะภาษา Golang ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ Application ที่ต้องใช้ Multi-Threading หรือ Distributed Systems เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

JavaScript

JavaScript เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ใช้ได้หลากหลาย ทั้งในฝั่งของ Front End และ Back End โดยหลาย ๆ องค์กรมักจะใช้ภาษานี้กัน จึงเป็นอีกหนึ่งภาษาที่ควรรู้ไว้

สำหรับการพัฒนาในส่วนของ Back End มักจะใช้ภาษานี้ร่วมกับ Libraries ที่มีชื่อว่า Node.js ซึ่งทำหน้าที่เป็น Runtime Environment แบบ Cross-Platform หรือพูดง่าย ๆ ก็คือทำให้การเขียนทีเดียวใช้งานได้หลาย Operation System (OS)

Java

Java เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) ที่เสถียร และสามารถใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งมักจะถูกใช้งานกันในหลากหลายองค์กร ทั้งในการสร้าง Web Application, Desktop Application และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยในงานของ Back End มือใหม่ ก็มี Libraries อย่าง Spring Boot ที่จะช่วยให้การทำงานเป็นไปได้สะดวกมากขึ้น

แต่ในปัจจุบัน ภาษา Java ได้ถูกพัฒนาต่อยอดมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างของภาษา มาเป็นภาษา Scala ทำให้ในบางองค์กรเริ่มหันมาสนใขภาษา Scala มากขึ้น เป็นเหตุผลว่าทำไม Developer จึงควรหันมาสนใจภาษานี้มากยิ่งขึ้น

Ruby

Ruby เป็นภาษายอดนิยมอีกหนึ่งภาษาสำหรับการพัฒนา Back End ซึ่งเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง ประสิทธิภาพดี และใช้งานง่าย เนื่องจากสามารถอ่านไวยากรณ์ (Syntax) ได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ได้ในหลาย OS อีกด้วย

โดยภาษา Ruby สามารถใช้งานร่วมกับ Ruby On Rails (ROR) Frameworks ซึ่งจะช่วยให้การทำงานต่าง ๆ เช่น การมองภาพรวม การปรับปรุงแก้ไขระบบ และดูแลรักษาง่ายขึ้น

Python

Python คือหนึ่งในภาษาโปรแกรมระดับสูงที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ถูกออกแบบเพื่อให้มีโครงสร้างและ ไวยากรณ์ของภาษาที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย มีการใช้พัฒนาแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ รวมถึงแอปบนมือถือ โดยหน้าที่ของ Python ก็คือการทำงานแปลชุดคำสั่งทีละบรรทัดเพื่อป้อนเข้าสู่หน่วยประมวลผล ให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ หรือเรียกว่าการทำงานแบบ Interpreter นั่นเอง

ซึ่งใน Back End Development ภาษา Python มักถูกใช้ควบคู่กับ Frameworks ยอดนิยมอย่าง Django หรือ Flask เพื่อความสะดวกในการทำงาน

PHP

PHP เป็นภาษาที่ใช้สำหรับพัฒนาเว็บไซต์เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ เป็นภาษาที่มีความสามารถหลากหลาย ครอบคลุมในหลาย ๆ ด้าน มักใช้งานควบคู่กับภาษา HTML การใช้งานภาษานี้จึงต้องมีความรู้เรื่อง HTML ด้วย

ภาษาที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งใน Back End Language เท่านั้น ในแต่ละองค์กรอาจมีการเลือกใช้ที่แตกต่างกัน และอาจมีการใช้ภาษานอกเหนือจากที่เล่ามา ดังนั้นควรศึกษาให้ดีก่อนสมัครงานนะครับ


ทักษะเกี่ยวกับ Database

งานในส่วนของการพัฒนา Back End มักต้องมีการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาใช้ เช่นในกรณีที่ผู้ใช้งานจะทำการ Log in โดยกรอก Username และ Password มา ระบบจะต้องสามารถเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อทำการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ผู้ใช้งานกรอกมาถูกต้องไหม เป็นต้น ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับฐานข้อมูลจึงสำคัญมาก ๆ

ซึ่งเครื่องมือในการจัดการกับ Database ก็มีมากมาย สำหรับเครื่องมือที่ต้องใช้ภาษา SQL เช่น MySQL, MSSQL, Oracle และ PostgreSQL เป็นต้น และเครื่องมือสำหรับ NoSQL เช่น MongoDB

ทักษะการจัดการ Server

การทำงานของ Back End นั้นต้องอยู่กับเซิร์ฟเวอร์เป็นประจำ ดังนั้นควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Web Servers โดยเครื่องมือที่ใช้จัดการกับเซิร์ฟเวอร์ที่นิยมใช้กัน คือ Apache และ Nginx

ทักษะ ความรู้เกี่ยวกับ API

API ย่อมาจาก Application Program Interface หรือแปลว่า วิธีการเรียกใช้โปรแกรม โดย API จะใช้สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน เช่น การเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันกับฐานข้อมูล การส่งคำขอไปยังแหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ๆ หรือการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันที่อยู่บนคลาวด์ ทำให้ซอฟต์แวร์สามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้ นักพัฒนา Back End ที่ต้องดูแลการรับส่งข้อมูลจึงควรเข้าใจหลักการ และวิธีการทำงานของมัน

ทักษะการใช้ Version Control/ Git

Version Control คือ กระบวนการที่ใช้ติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมการเปลี่ยนแปลงของ Code ทำให้เราสามารถย้อนกลับไปดูงานในเวอร์ชั่นเก่า ๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นทำใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังช่วยในการแบ่งงาน (แตก Branch) เพื่อให้ Developer หลาย ๆ คนสามารถเข้ามาทำงานได้พร้อม ๆ กันอีกด้วย

ทักษะ ความรู้เกี่ยวกับ Cyber Security

Cyber Security หรือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ คือ การป้องกันความเสี่ยงจากการโดนโจมตีทางอินเทอร์เน็ต ที่อาจส่งผลต่อการทำงานระบบ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในปัจจุบัน การมีความรู้เรื่อง Cyber Security จะช่วยให้สามารถสร้างเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันได้ดีมากยิ่งขึ้น

ทักษะ Testing and Debugging

การเขียนโค้ด ย่อมมากับความผิดพลาด หรือที่เรียกกันว่า Bug ดังนั้นคนที่เป็น Developer ต้องมีความสามารถในการตรวจสอบ Source Code ของตัวเอง เพื่อหาจุดที่ผิดพลาด แล้วทำการแก้ไขอยู่เสมอ

ทักษะการใช้ Command Line

Command Line คือ การใช้ Text เข้าถึง และใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ จะต่างจากแบบ GUI (Graphic User Interface) หรือที่แสดงเป็นหน้าจอสวยงามแบบที่เราสามารถคลิก ๆ ในสิ่งที่เห็นได้เลย

การใช้งาน Command Line เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะ เครื่องมือหลายอย่างที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์บนเซิร์ฟเวอร์มักมีการใช้ เช่น Git, Node.js, Python, Ruby, MySQLและการทำงานหลายงาน ต้องใช้ Command Line ร่วมด้วย เช่น การทำงานกับฐานข้อมูล, การรันและจัดการกับเซิร์ฟเวอร์, การดูแลระบบ และการทดสอบซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทำงานสะดวกมากขึ้น เนื่องจากสามารถสั่งการให้ระบบทำงานได้ง่าย และรวดเร็ว

Soft Skill

Soft Skill ที่ Back End Developer ควรมี คือ การสื่อสาร การตัดสินใจ และการมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังพัฒนา เพื่อช่วยให้เข้าใจบริบทในการทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้ผลลัพธ์ของงานที่ได้รับมอบหมายออกมาดีมากขึ้น

Business Mindset

Developer ที่ดีควรมองตัวเองเป็นธุรกิจหนึ่ง ที่กำลังขายความสามารถของเราให้กับบริษัทที่เรากำลังทำงานอยู่ โดยเราควรพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น และทันต่อ Trend ใหม่ ๆ เสมอ

Product Mindset

การเป็น Developer ที่ดี ไม่เพียงแต่สร้างของตามโจทย์ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจ Product เพื่อให้สามารถสร้างของที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดีขึ้น

People Skill

การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้า ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น

Communication Skill

การมีทักษะการสื่อสารจะช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ถูกต้องมากขึ้น ส่งผลดีต่องานในหลาย ๆ ด้าน เช่น หากสามารถอธิบายเรื่อง Technical ยาก ๆ ให้ทีมอื่นเข้าใจได้ ก็จะช่วยให้งานดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และรวดเร็วมากขึ้น

Making Tough Decision

บ่อยครั้งที่ต้องเจอปัญหายาก ๆ ในการทำงาน การสามารถตัดสินใจหาทางออกให้กับปัญหานั้นจึงสำคัญมาก


เตรียม Resume สำหรับ Back End Developer

Resume สำหรับ Back End Developer ควรมุ่งเน้นในการแสดงให้ Recruiter เห็นถึงทักษะที่เรามี โดยควรมีหลักฐานมายืนยันความสามารถนั้น ๆ ด้วย โดยทุกคนสามารถหา Template การทำ Resume ในการสมัครตำแหน่งนี้ได้ทั่วไป แต่เรามี Tips and Tricks 4 ข้อง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ (อ้างอิงจาก kickresume) ดังนี้

  1. เน้นในส่วน Back End Development Skill: เพราะเป็นสิ่งที่หลายบริษัทดูเป็นอันดับต้น ๆ โดยทำให้ส่วนนี้เด่น และเพิ่มเติมทักษะที่บริษัทนั้น ๆ กำลังมองหา
  2. เพิ่มส่วน Side Project เข้าไปด้วย: เพราะจะช่วยให้ Recruiter เห็นถึงประสบการณ์ที่เคยผ่านมาได้ชัดเจนมากขึ้น และถ้าเป็น Project ที่คุณทำด้วยตัวเองในเวลาว่าง จะช่วยแสดงความสนใจของคุณที่มีต่อการ Development ซึ่งแน่นอนว่า Recruiter ต้องชอบอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าเป็น Project ที่ตรงกับสิ่งที่บริษัทนั้น ๆ กำลังมองหา จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเราได้มากเลยทีเดียว
  3. ใส่ Courses เรียน หรือ Certificates ที่เกี่ยวข้อง: ในส่วนนี้จะช่วยแสดงหลักฐานของทักษะ หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่เราเล่ามาทั้งหมด และยังเป็นตัวที่บอกว่าเราเป็นคนที่พยายามอัพเดทความรู้อย่างสม่ำเสมอ
  4. ใส่ข้อมูล GitHub ของตนเอง: เพราะเพียง Resume อาจไม่เพียงพอ Recruiter มักจะมองหาผลงานจริง ๆ มากกว่าเพียงแค่ข้อมูลใน Resume ดังนั้นอาจต้องมีเว็บ หรือบล็อกสำหรับโชว์ผลงานของเรา ซึ่งโดยปกติแล้ว หลาย ๆ คนมักจะใช้ GitHub เพื่ออัพโหลดผลงานของตนเอง และนำชื่อ Account ของตัวเองไปใส่ใน Resume ในส่วน Contact เพื่อให้ผู้คัดเลือกสามารถค้นหา และดูผลงานผ่าน GitHub ได้

อย่างไรก็ตาม การทำ Resume ที่นำมาเสนอนี้ เป็นเพียงสิ่งที่มักจะใช้กันเท่านั้น อาจมีบางหัวข้อที่เหมาะ หรือไม่เหมาะที่จะใส่ในการสมัครงานบางประเภท ดังนั้นในการสมัครงานจริง ๆ เราควรศึกษาความต้องการของบริษัทที่จะไปสมัคร ดูว่าคนที่เค้ากำลังมองหาคือใคร ต้องมีทักษะอะไร แล้วทำ Resume ที่ตรงกับสิ่งที่บริษัทนั้น ๆ ต้องการ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการผ่านการคัดเลือกได้มากเลยครับ


Back End Developer เงินเดือนเท่าไร

เงินเดือนตำแหน่ง Back End Developer ในประเทศไทย สำหรับผู้มีอายุงาน 3-7 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 120,000 บาทต่อเดือน และสำหรับผู้ที่มีอายุงานตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไปจะสามารถขึ้นไปถึง 250,000 บาทต่อเดือนได้เลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์กร และอุตสาหกรรม (ข้อมูลจาก Online Salary Guide 2023 โดย Adecco)


แนวทางศึกษา Back End เพิ่มเติม

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักตำแหน่งนี้เป็นอย่างดีแล้ว สำหรับผู้ที่สนใจในสายอาชีพนี้ ทางเราขอแนะนำวิธีการศึกษา และพัฒนาทักษะด้าน Back End เพิ่มเติม ดังนี้

  1. อ่านหนังสือ หรือบทความต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น
    1. Go Tutorial Series EP.1: สร้าง REST API ด้วย Gin Framework
    2. Go Tutorial Series EP.2: เก็บข้อมูล API ใน Database ด้วย Gorm Library
    3. Go Tutorial Series EP.3: ทำ Authorization ด้วย JWT และ Middlewareในภาษา Go
  2. อ่าน Case Study หรือศึกษาผลงานของคนอื่น เพื่อให้เข้าใจวิธีคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาของผู้อื่น เช่น บทความ: กว่าจะเป็น Skooldio Tutorials, Case Study: Microservices ภาษา Go, 4 ตัวอย่าง Tech ระดับโลก ที่ใช้ภาษา Go สร้าง High Performance Software
  3. ติดตามข่าวสารในวงการ Developer
  4. ลองศึกษาเส้นทางการย้ายสายงานมาทำอาชีพนี้ เช่น เปิดเส้นทางย้ายสายจากนิเทศเอกฟิล์ม สู่ Software Developer, จากสถาปนิกสู่โปรแกรมเมอร์
  5. ลงเรียนคอร์ส Technology กับทาง Skooldio!
  6. ลองฝึกฝนทำจริง เพื่อเพิ่มทักษะ และยังเป็นการช่วยเตรียม Profile สำหรับสมัครงานอีกด้วย

และหากไม่อยากพลาด Content ดี ๆ แบบนี้ อย่าลืมติดตามช่องทาง Social Media ของ Skooldio ทั้ง Facebook, Instagram, TikTok และ Skooldio Blog กันไว้ด้วยนะครับ 🙌

Bhumibhat Imsamran
Business Development Associate | Skooldio

More in:Technology

Comments are closed.