Agile-Scrum-Framework

Agile-Scrum-Framework

หลายคนที่สนใจในการทำงานแบบ Agile อยากจะเริ่มต้นเอามาปรับใช้ในการทำงาน คำถามที่อาจจะเกิดขึ้นคือ แล้วจะเริ่มต้นทำงานแบบ Agile ได้ยังไง? หนึ่งในวิธีที่ทำให้เริ่มต้นได้ง่ายขึ้นคือการลองศึกษา Framework ไว้เป็นตัวยึดเกาะ และลองเอามาปรับใช้ในการทำงาน

ซึ่งในโลกการทำงานแบบ Agile มี Framework จำนวนมากที่ช่วยแปลง Concept การทำงานแบบ Agile ให้ออกมาเป็นกระบวนการที่มีรายละเอียดให้ปรับทำตามได้ หนึ่งใน Framework ยอดนิยมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ Scrum ซึ่งเป็น Framework ที่ค่อนข้างมีรายระเอียดของแต่ละกระบวนการให้เห็นได้ชัดเจน มาทำความรู้จักกันว่า Scrum มีที่มาที่ไปอย่างไร และจะช่วยในการทำงานแบบ Agile ได้ยังไงบ้าง

Scrum คือเครื่องมือที่จะช่วยให้ทีมเข้ามาช่วยกันทำงานและผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในทีม Scrum จะประกอบไปด้วย Product Owner ที่คอยดูว่าทีมกำลังสร้างสิ่งที่ถูกต้องและตอบโจทย์ลูกค้าไหม ดูรายการต่างๆ ว่าสิ่งที่ต้องทำมีอะไรบ้าง จะทำอะไรก่อน-หลัง ต่อมาคือ Scrum Master หรือจะเรียกว่าเป็นโค้ชของทีมที่จะเข้ามาช่วยให้ทีมทำงาน และได้ผลลัพธ์ออกมาส่งมอบให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สุดท้ายคือทีมพัฒนาหรือ Development Team ซึ่งมักจะมีคนจากหลายๆ ฝ่ายเข้ามาช่วยกันทำงานในโปรเจกต์เดียวกัน เช่นโปรแกรมเมอร์, UX/UI Designer และช่วยกันพัฒนางานให้ออกมาส่งมอบกับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

ทีนี้มาดูที่ Scrum Framework จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ Scrum Artifacts ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น จะมีทั้งหมด 3 Artifacts อีกส่วนหนึ่งคือ Scrum Ceremonies คือเรื่องของกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำ ซึ่งมีทั้งหมด 5 Ceremonies

Agile 3 Artifacts

  1. Product Backlog – ลิสต์ของสิ่งที่เราอยากทำ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์หรือฟังก์ชันต่างๆ และจัดลำดับความสำคัญว่าจะเอาอะไรออกมาทำก่อน 
  2. Sprint Backlog – ขยายต่อมาจาก Product Backlog ดึงส่วนที่สำคัญที่สุดมาลงรายละเอียดว่าเราจะทำอะไรบ้างในแต่ละ Sprint 
  3. Increment – คือผลลัพธ์ปลายทางในทุกๆ Sprint เป็นคุณค่าที่เราสามารถส่งมอบให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง และดีขึ้นเรื่อยๆ ตามหัวใจของการทำงานแบบ Agile ที่เน้นการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าบ่อยๆ และตอบโจทย์มากขึ้นในทุกครั้ง

5 Scrum Ceremonies

  1. Sprint – รอบของการพัฒนา กำหนดสิ่งที่จะทำออกมาพร้อมกรอบเวลาที่ชัดเจนในแต่ละ Sprint ซึ่งมักจะไม่นานเกินหนึ่งเดือน เพื่อลดโอกาสที่ปัจจัยอื่นๆ จะเปลี่ยนแปลง เช่นตลาดเปลี่ยน ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยน 
  2. Sprint Planning – การวางแผนว่าในแต่ละ Sprint จะทำอะไรบ้าง โดยให้แต่ละทีมมาคุยร่วมกันว่าจะทำอะไร และทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องไปในทิศทางเดียวกัน 
  3. Daily Scrum – อัปเดตกันรายวันไวๆ ว่าเมื่อวานทำอะไรสำเร็จไปแล้ว วันนี้จะทำอะไรต่อ และติดปัญหาอะไรอยู่หรือไม่ แล้วจะช่วยเหลือกันอย่างไร 
  4. Sprint Review / Sprint Demo – ทั้งทีมมาช่วยกันรีวิวสิ่งที่ทำออกมา หลายครั้งจะมีการชวนลูกค้าหรือ User ที่จะใช้ของเรามาเข้าร่วมด้วย เพื่อจะได้ทดลองใช้แล้วให้ Feedback กลับมา 
  5. Sprint Retrospective – มาคุยกันว่าตลอดใน Sprint รอบนี้ อะไรที่เราทำได้ดี อะไรที่ทำให้ดีกว่านี้ได้อีก ได้สิ่งที่เรียนรู้ไปทำให้รอบหน้าดีขึ้น

ถ้าเอาทั้งสองส่วนมาประกอบกัน ก็จะเริ่มตั้งแต่มี Product Backlog ที่เก็บเอาไว้ว่าจะทำอะไรบ้าง อะไรสำคัญที่สุด แล้วเข้าสู่ Sprint Planning ว่าจะทำอะไรบ้าง ทำอย่างไร และจะได้ Sprint Backlog ออกมาว่าใน Sprint นี้จะทำอะไรบ้าง แล้วก็เริ่มเข้าสู่การพัฒนาหรือ Sprint โดยที่มีการทำ Daily Scrum อัปเดตกันรายวันไปด้วย พอเสร็จรอบได้ของที่ทำออกมาก็เข้าสู่ Sprint Review รีวิวกันว่าสิ่งที่ทำออกมาตอบโจทย์จริงๆ ไหม โดยที่พยายามเอาลูกค้าเข้ามามีส่วนในขั้นตอนนี้ด้วย และได้มาเป็น Increment หรือสิ่งที่ดีขึ้นในการส่งมอบให้กับลูกค้า และปิดจบด้วย Sprint Retrospective

ทั้งนี้ทั้งนั้นการมี Framework ไม่ได้หมายความว่าองค์กรหรือทีมเราจะสามารถทำงานแบบ Agile ได้เสมอไป โดยเฉพาะเมื่อหัวใจการทำงานแบบ Agile จะเน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนมากกว่ากระบวนการ และเครื่องมือต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าคือ Value ที่จะได้จากการทำ Scrum Framework ที่ทำให้เราสามารถเอาไปปรับ และประยุกต์ใช้กับองค์กรของเราได้อย่างเหมาะสมและ Agile ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากทำให้ทีมและองค์กรของคุณสามารถทำงานได้อย่าง Agile ถึงเวลาแล้วที่จะเข้าร่วม Digital Leadership Bootcamp โปรแกรมเข้มข้น 12 สัปดาห์ สำหรับผู้บริหารยุคดิจิทัลกับเนื้อหาที่ออกแบบมาเพื่อสามารถต่อยอดใช้ได้จริงในองค์กร กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีประสบการณ์จากการทำงานในธุรกิจชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ อัดแน่นไปด้วยกิจกรรม Design Sprint Trip, Intensive Workshop & Fireside Chat, Company Visit ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี จัดมาแล้วถึง 2 รุ่น!

ดูรายละเอียดและสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 5 กันยายน 2565 ที่:  https://to.skooldio.com/hYvGBfYbWsb

เริ่มเรียน 17 กันยายน – 2 ธันวาคมนี้ ทุกวันศุกร์ 09.30 – 17.30น.

More in:Business

Comments are closed.